เคล็ดลับในการพิชิตหุ้น

เคล็ดลับในการเอาชนะตลาดหุ้นและสามารถทำเงินในตลาดได้อย่างน่าพอใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว investors ส่วนมากจะรู้และเข้าใจกฎ หรือเคล็ดลับนั้นๆ  แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถทำตามเคล็ดลับนั้นๆได้ ดังนั้นหากเรายึดเคล็ดลับหรือวิธีการลงทุน ที่เราคิดว่าเป็น model ที่เหมาะสมกับตัวเราแล้ว ขอให้ ยึดถือและปฏิบัติตามเคล็ดลับให้ได้  แน่นอนความสำเร็จย่อมมาถึงตัวเราแน่นอน ผมขอนำเสนอเคล็ดลับที่ไม่ลับ ( ไม่ลับเพราะเป็นเคล็ดที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากๆเขาทำกัน ) เพื่อพิชิตหุ้นดังนี้
-เลือกหุ้นพื้นฐานดี -
-เข้าตลาดให้ถูกจังหวะ-
-ตัดขาดทุน ถ้าหุ้นไม่วิ่ง-
-ปล่อยให้ราคาหุ้นวิ่ง ถ้ายังมีกำไร-
-เล่นตามกระแส  เพราะทวนกระแสมีแต่เจ็บ-
-อย่าซื้อเฉลี่ย ถ้าราคาหุ้นตก เพราะจำทำให้ยิ่งถลำลึก-
เคล็ดลับทั้ง 6 ข้อนี้รับรองได้ว่าสามารถเอาชนะตลาดได้แน่นอน เพราะตัวมันเองค่อนข้าง simple มาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือตัวนักลงทุนนั่นเองที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎได้ ดังนั้นนักลงทุนต้องมีความพร้อมในการเล่นหุ้น สิ่งที่นักลงทุนควรมี หรือ ต้องมีคือ
        -         ต้องมีความรู้เรื่องการลงทุน และ ความรู้เรื่อง Technical Analysis พอสมควร
        -        
ต้องมี discipline ในการลงทุน
รายละเอียดของเคล็ดลับ
1.) เลือกหุ้นพื้นฐานดี
คุณทราบหรือไม่ว่าคุณจะซื้อหุ้นตัวไหน ซื้อด้วยเหตุผลอะไร บางท่านลงทุนระยะยาว ก็จะซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี ซื้อแล้วซื้อเลยเก็บใส่เซฟ ไม่ต้องมาคอยนั่งดูราคาหุ้นที่มันขึ้นๆลงๆในแต่ละวัน หรือแต่ละสัปดาห์
ผมเชื่อว่านักลงทุนในบ้านเราส่วนมากมี style การเล่นหุ้นแบบระยะสั้น หรือเก็งกำไร ( ตามข้อมูลของ กลต.ปรากฏว่า 70% ของนักลงทุน เป็นนักลงทุนประเภทระยะสั้น )
การเล่นรอบสั้น น่าศึกษาให้ดี เพราะถ้าสามารถ control มันได้ ก็จะสามารถ trade หุ้นได้หลายรอบ และถ้ามองโลกในแง่ดี เราจะสามารถทำกำไรได้หลายรอบเลยทีเดียว
การเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี ( Fundamental Analysis ) ควรดูปัจจัยดังนี้
KEY
Meaning
Financial Statement
บอกสถานภาพของบริษัทๆนั้นว่ามีสุขภาพแข็งแรง หรือป่วยเป็นโรคร้ายแรงหรือเปล่า อันนี้ต้องใช้เวลาศึกษา เพราะ financial statement analysis เป็นวิชาที่ยากวิชาหนึ่งของการเงิน
P/E ratio
Price- Earning Ratio
เป็นตัวเลขอัตราส่วนระหว่าง ราคาหุ้น ณ วันที่เราต้องการซื้อ หารด้วย กำไรต่อหุ้นของหุ้นตัวนั้นๆ แน่นอน P/E ratio ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งดี เพราะว่ามันหมายถึง ราคาหุ้นตัวนั้นไม่แพง โดยทั่วไปจะดูกันที่ P/E=10
P/BV ratio
Price-Book Value ratio
Book Value คือราคาเริ่มต้นต่อหุ้นในการจัดสรรหุ้นตอนต้น หรือตอนเริ่มทำธุรกิจ P/BV ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งดี แสดงว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีราคาถูก ยิ่งหากถ้า P/BV ratio ต่ำกว่า 1 นั่นหมายถึงว่า เราสามารถซื้อหุ้นตัวนั้น ได้ถูกว่าผู้ก่อตั้งบริษัทเสียอีก
Business Type
ประเภทของธุรกิจ เป็นแบบไหน กิจการสามารถยั่งยืนอยู่ได้ชั่วลูก ชั่วหลานหรือไม่
 เมื่อเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีได้ดั่งใจที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือเราก็เลือกหุ้นพื้นฐานดีตัวนั้นๆ มาเล่นระยะสั้น ถึง ปานกลางกันดีกว่า ( วิธีนี้จะต่างจากนักลงทุนระยะยาวที่เรียกว่า intrinsic value investor ) ส่วนท่านใดที่ต้องการลงทุนระยะยาวก็ไม่ว่ากัน เพียงแต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคอยเฝ้าดูราคาหุ้นเป็นประจำ
การเลือกหุ้นพื้นฐานดีมาเล่นระยะสั้น-กลาง จะเป็นเกราะป้องกันให้เราอีกชั้นหนึ่ง กรณีที่หุ้นตัวนั้นเกิดผันผวนด้านราคา
2.) เข้าตลาดให้ถูกจังหวะ
จริงๆ แล้วการเข้าตลาดหุ้นก็เหมือนกับเข้าตลาดสด คำถามคือว่าคุณจะไปจ่ายตลาดในตอนกลางวันหรือกลางคืน แน่นอนถ้าคุณไปตลาดสดตอนกลางคืนคุณจะหาซื้ออะไรได้บ้างครับ ?
ก่อนที่คุณจะเข้าซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนั้น คุณต้องรู้ให้แน่ชัดมากที่สุดเท่าที่จะรู้ได้ว่า หุ้นที่จะซื้อ หรือขายนั้นอยู่ใน status ไหน เป็นช่วงขึ้น ( Bullish ) หรือช่วงลง ( Bearish )  หรือ ทรงๆ ( Sideway ) การที่คุณเข้าตลาด หรือเข้า trade ผิดจังหวะ แน่นอน เริ่มต้นก็ผิดแล้ว ดังนั้นช่วงนี้ถือว่าสำคัญยิ่งนัก เข้าตลาดถูกจังหวะ ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
Status ของราคาหุ้นนแบ่งเป็น 3 ช่วงคือ
            -    Bullish State (
ภาวะกระทิง )             -    Sideway State ( ภาวะทรงตัว )
            -    Bearish State ( ภาวะหมี )
ขอยกตัวอย่างจริงของหุ้น BIGC ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2545
Bullish State
รูปที่ 1 แสดงภาวะกระทิง bullish ของหุ้น BIG-C
จากรูปที่ 1 : ราคาหุ้นของ BIGC ช่วงนี้เป็นช่วงขาขึ้น หรือเรียกว่า bullish state มีสิ่งที่ควรสังเกตุคือ เส้นค่า เฉลี่ย MA12 จะอยู่เหนือ MA26 ตลอดช่วง  และเมือลากเส้น trend line ระหว่างจุดต่ำของราคา เส้น trend line มีแนวโน้มทแยงขึ้น

Sideway State
 รูปที่ 2 แสดงภาวะทรงตัว ( sideway ) ของหุ้น BIG-C
จากรูปที่ 2: ช่วงนี้เป็นช่วง sideway โดยที่ราคาหุ้นมีแนวโน้มขึ้นและลงสลับกันเป็นระยะ สังเกตุจากการลากเส้น trend line เชื่อมระหว่างจุดสูงของราคา 1 เส้น และลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำของราคาอีก 1 เส้น เราจะเห็นว่าราคาหุ้นมันขึ้นๆลงๆในช่วงนี้

   Bearish State
รูปที่ 3 แสดงภาวะหมี ( bearish ) ของหุ้น BIG-C
จากรูปที่ 3: เป็นช่วง Bearish State หรือขาลงนั่นเอง ที่ช่วงนี้ เส้นค่าเฉลี่ย MA12 จะอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 26 เกือบตลอดช่วง ซึ่งจะตรงข้ามกับช่วง Bullish State และหากเราลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดสูงของราคาก็จะเกิดเป็นเส้นตรงที่มีแนวโน้มลง

  3.) ตัดขาดทุน
ถ้าคุณเข้าตลาดผิดจังหวะโดยราคาหุ้นมันลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อมา แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร มีหลายท่านคิดแบบนี้
ไม่เป็นไร หุ้นมีตก ก็ต้องมีขึ้น
ไม่กล้าขาย เพราะราคามันต่ำมาก
" ขายตอนนี้กลัวเสียฟอร์ม "
เหตุผลมีอีกมากมายที่กล่าวไม่หมด เอาเป็นว่า ทุกๆคำกล่าวนั้น อย่ในสถานะเหมือนกัน คือ ขาดทุน ทีนี้หากขาดทุนแล้วควรทำอย่างไร อันนี้สิเป็นสิ่งที่น่าคิดน่ายึดถือเป็นหลักปฏิบัติ
นักลงทุนระดับมืออาชีพส่วนใหญ่เขามีกติกาในใจที่ค่อนข้างเหมือนกันคือ ตัดขาดทุน STOP LOSSES หรือ CUT LOSSES แต่จะต่างกันตรงที่แต่ละท่านอาจจะตัดขาดทุนไม่เท่ากัน ซึ่งเท่าที่พบเห็นบ่อยก็มี 3% 5% 10%
การเล่นหุ้น ก็เหมือนกับ การทำธุรกิจทั่วๆไป คือ มีความเสี่ยง เมื่อเรามั่นใจว่าเราเข้าตลาด หรือซื้อหุ้นในจังหวะที่เหมาะสมแล้ว แต่เหตุการณ์มันกลับย้อนศรสวนความคิดเรา โดยราคาหุ้นที่เราซื้อกลับล่วงลง ดังนั้นหากเราป้องกันความเสี่ยงในระดับที่เราสามารถรับได้ หรือไม่กระทบกับ port ของเรามากนัก เราก็ควรจะรีบดำเนินการทันที นั่นคือ ต้อง stop losses ทันทีที่ราคามันลงมาถึงระดับ target ที่ตั้งไว้
ตัวอย่างเช่น เราซื้อหุ้น ABC 1,000 หุ้น หุ้นละ 200 บาท ราคาซื้อไม่รวมค่า broker เท่ากับ 200,000 บาท เราตั้ง stop losses ไว้ที่ 5% ดังนั้น หากมูลค่าเงินของเราลดลงเหลือ  190,000 บาท เราต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด โดยการการขายหุ้นนั้นเสียทันที

        ข้อแนะนำ

จากรูปที่ 1,2,3 เราก็พอจะมองออกแล้วว่า การเข้าตลาดนั้นควรจะเข้าช่วงไหนผมมีข้อแนะนำดังนี้
1.
คุณต้องเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดเป็นช่วงขาขึ้น ( BULLISH STATE ) เพราะในช่วงนี้ซื้อหุ้นอย่างไร ก็มีกำไร
2.
ถ้าตลาดอยู่ในช่วง sideway คุณก็สามารถทำกำไรได้ในช่วงสั้น แต่ก็ต้องซื้อขายเร็วและระวัง
3.
ถ้าไม่มั่นใจ อย่าเข้าตลาดในช่วงขาลง ( BEARISH STATE ) เพราะอัตราการลงของราคาจะเร็วกว่าอัตราการขึ้นของราคา นั่นหมายถึงว่า คุณจะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่ถ้าหากคุณมีเวลาเฝ้ามันได้ทั้งวัน อันนี้ก็สามารถทำกำไรช่วงสั้นๆ ได้เหมือนกัน
           
 

รูปภาพแสดงการตัดขาดทุน

ถ้าคุณเข้าตลาด(ผิดจังหวะ) ที่ตำแหน่งเลข 1 และราคาหุ้นได้ดิ่งลงมาจากวันที่คุณซื้อ กรณีที่เราตั้งตัวเลขขาดทุนที่ระดับที่คุณยอมรับได้ เมื่อราคาหุ้นตกลงมายังตำแหน่งเลข 2 คุณต้องตัดขายขาดทุนทันที เพื่อควบคุมการขาดทุนมากกว่านี้
4.) ปล่อยให้ราคาหุ้นวิ่ง
            ตามที่ได้แนะนำว่า การเข้าตลาดควรเข้าตลาดช่วงที่เป็นขาขึ้น Bullish State ถ้าหุ้นที่เราซื้อมีกำไร เราก็ควรปล่อยให้หุ้นมันวิ่งไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งขายมันออกไป เพราะ
-         ในช่วงขาขึ้นจะมีการปรับฐาน ( retracement ) เป็นระยะๆ แต่หลัง retrace แล้วมันก็จะ rebound ขึ้น ซึ่งอัตราการขึ้นหรือเด้ง ( rebound ) มันจะเร็วกว่า อัตราการลง ( retrace )
-         ในแง่การวิเคราะห์หุ้นที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยอาศัย Elliot Wave Analysis พบว่า ช่วงขาขึ้นจะฟอร์มตัวเป็นลูกคลื่นจำวน 3 ลูก ส่วนช่วงขาลง มันจะฟอร์มตัวเป็นลูกคลื่น 2 ลูก ดังนั้นหากลูกคลื่นที่อยู่ในช่วงตลาดขาขึ้นกำลังฟอร์มตัวลูกที่ 1 และคุณก็เข้าตลาดช่วงนี้พอดี ดังนั้นคุณยังสามารถถือหุ้นนั้นไปได้จนถึงราคาหุ้น ณ ลูกคลื่นที่ 5 ได้ และมีกำไรสูงสุด นี่สิเรียก “ Let The Profit Run “
           
ปล่อยให้ราคาหุ้นวิ่ง
        กรณีที่คุณเข้าตลาดถูกจังหวะที่ตำแหน่งเลขที่ 1 และคุณก็รู้ว่าคุณเข้าตลาดช่วงที่เป็น Bullish State และมันเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นของ state นี้ เมื่อราคาหุ้นขยับขึ้นมาที่ตำแหน่งเลขที่ 2 คุณอย่าเพิ่งรีบร้อนขายหุ้นทิ้งออกไป เพราะตำแหน่งที่ 2 คุณก็ยังมีกำไร และมีโอกาสที่จะมีกำไรต่อไปด้วย เพราะราคาหุ้นมันจะขึ้นเป็นลูกคลื่น 3 ลูก ( ตามสถิติ )
      ดังนั้นรอให้ราคาหุ้นมันขึ้นไปที่ตำแหน่งเลขที่ 3 ก่อนค่อยขายหุ้นออกไป
     คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าราคาหุ้นมันมาถึงจุดยอดหรือยัง เรื่องนี้มันมีทฤษฎีที่สามารถ forecast ได้ คือ Elliott Wave Theory
  5.) เล่นตามกระแส
สุภาษิตไทยที่มีความหมายดีๆมีมากมาย และหนึ่งในนั้นที่สามารถนำมา apply กับตลาดหุ้นได้ก็คือ หลิวลู่ลม   หรืออีกสำนวนหนึ่ง    เข้าเมืองตาหลิ่ว ให้หลิ่วตาตาม  ความหมายมันคือ พยายามทำตัวให้กลมกลืน อย่าไปฝืนสถานการณ์  เช่นกัน เมื่อหุ้นขึ้น คุณก็เข้าไปซื้อ เมื่อหุ้นตก อย่าทำตัวเป็นคนเก่งด้วยการซื้อสวนทางตลาด เพราะมันเสี่ยง
การเล่นหุ้นตามกระแสมันก็มีหลายรูปแบบ แต่ที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมก็พอจะแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบด้วยกันคือ
1.       เล่นตาม SET INDEX คือเราต้องพิจารณา pattern ของ SET ด้วยว่าเป็น state ไหน และโปรดอย่าลืมว่าควรเข้าตลาดในช่วง Bullish State เมื่อพิจารณา SET แล้ว ก็มาพิจารณาเลือกเล่นหุ้นที่เราสนใจ ซึ่งวิธีการเลือกหุ้นนั้น ขอให้พิจารณาตามเคล็ดลับข้อที่ 1. เมื่อเลือกหุ้นได้แล้ว ก็มาพิจารณาว่า trend ของราคาหุ้นตัวที่เราเลือกนั้น มันเหมือนกับ trend ของ SET หรือไม่ ถ้าเหมือนกันก็เข้าเล่นเลย อย่างนี้เรียกว่าเล่นตามกระแส SET INDEX
2.       ไม่เล่นตาม SET INDEX เป็นการเล่นหุ้นโดยดู pattern ของหุ้นที่เราเลือกโดยไม่ได้อิงหรือพิจารณาให้น้ำหนักกับ SET INDEX มากนัก เป็นการวิเคราะห์เฉพาะหุ้นนั้นๆว่ามันอยู่ใน state ไหน การเข้าซื้อหรือขาย ก็ให้ดูจังหวะให้ดี แต่กรณีเล่นแบบนี้ ไม่แรงเท่ากับวิธีตามกระแส SET INDEX
 
6.) อย่าซื้อเฉลี่ย ถ้าราคาหุ้นตก
หลายคนมีวิธีการเฉลี่ยราคาหุ้นตอนช่วงราคาหุ้นตก โดยการซื้อหุ้นตัวเดียวกันหลายรอบในช่วงขาลง เพื่อเฉลี่ยต้นทุนที่ซื้อแพงไป ให้มีราคาเฉลี่ยถูกลง อันนี้แล้วแต่ style ของนักเล่นหุ้น แต่ที่แน่ๆคือ ราคาหุ้นมันกำลังตก แสดงว่า หุ้นตัวนั้นมันต้องผิดปกติ หรือมีข่าวไม่ดี หรืออะไรอีกมากมายที่เราไม่รู้ ความไม่รู้นี่สิคือความเสี่ยง แล้วมีคำถามต่อว่า คุณจะหยุดเฉลี่ยซื้อเมื่อไหร่

ข้อแนะนำ

แทนที่จะซื้อเฉลี่ยราคาหุ้นช่วงขาลง คุณน่าจะตัดขาดทุนดีกว่า เพราะการตัดขาดทุนจะทำให้เรา
-         สามารถ Control ต้นทุนได้
-         ไม่ต้องหมกมุ่นกับราคาหุ้นมากนัก
-         ไม่เสียอารมณ์ตลอดหลายช่วงเวลา
-         นอนหลับได้อย่างสนิท

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘