"ซื้อหุ้นแพง" กับ "ขายหุ้นถูก(ขายหมู)" มันก็แย่พอๆกัน

บางครั้งผมว่า เรามองอะไรด้านเดียว สิ่งที่ผมเริ่มมีคำถามขึ้นมาในใจคือ ""ซื้อหุ้นแพง" กับ "ขายหุ้นถูก(ขายหมู)" มันก็แย่พอๆกัน " ใช่หรือไม่ --- (ผมว่าใช่นะ)

และส่วนใหญ่ ก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะเวลาซื้อหุ้น เราก็จะ รอ (รอ) และก็ (รอ) ให้มันตกถึงสุดๆก่อน --แต่จนแล้วจนเล่าเราก็ซื้อไม่ทัน ราคาวิ่งขึ้นไปก่อน(ตกรถไฟ) ----พอราคาขึ้นไปหน่อย เราก็มักจะกลัวว่าหุ้นจะตกกลับลงไป (ก็รีบขาย)--สรุป"ขายหมู"

ดังนั้น ผมว่าการเล่นหุ้นที่ดี จะต้องตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป -- เหลือไว้แต่ "เหตุผล" และข้อเท็จจริงเท่านั้น

--- ถ้าเราตัดความตื่นเต้นออกไปผมว่า ภาพต่างๆที่เราวิเคราะห์จะชัดเจนขึ้น ผมเชื่อว่าในเบี้องต้น ทุกคนศึกษา "พื้นฐานหุ้น"เป็นจุดแรกอยู่แล้ว ดังนั้น ผมว่าทางที่ดีคือ เราควรจะ "Stick to the Plan" ไม่ใช่วิ่งเข้าออกตามอารมณ์

ยกตัวอย่างของ "Value Investor Strategy" คือ ซื้อหุ้นเมื่อ"หุ้นในบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ เข้าสู่สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน"

ดัง นั้น ราคาหุ้นจะแกว่งลงมา โดยมากจะลงต่ำกว่า Book Value (นั่นมีความหมายโดยนัยว่า ทุกๆ 1 บาทที่เจ้าของเอามาลงทุนในบริษัท -คุณสามารถซื้อหุ้นได้ถูกกว่าเจ้าของ เสียอีก" จากนั้น ก็รอรับ"ปันผล" และถือไปเรื่อยๆ "จนสถาณการณ์ ไม่แน่นอน ผ่านไป" หุ้นก็จะวิ่งกลับไปที่เท่าเดิม เช่น 2-3 เท่าของ P/BV

--จะเห็นได้ ว่า คุณสามารถทำกำไรได้คราวละ 200 -300% เลยทีเดียว (ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ว่า หุ้นตัวนั้นๆ ใช้เวลาเท่าไหร่ในการผ่านสถานการณ์วิกฤต ซึ่งอาจใช้แค่ 1 ปี 2 ปี 5 ปี หรือ ถึง 10 ปี คุณก็ยังคุ้ม --"เพราะถึง 10 ปี ยังคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 20% ซึ่งนับว่าสูงมาก")

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘