"ตลาดการลงทุน"ในอนาคตจะผันผวนมากขึ้น --นั้นหมายถึงคุณอาจรวยหรือจนในเวลาไม่นาน


จาก ภาวะของโลกที่เป็น Globalize มากขึ้น ส่งผลให้การค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึง "การเคลื่อนตัวของทุนทั่วโลก สามารถทำได้ง่ายมากๆ" จุดนี้เป็นความเสี่ยงของคนที่ "ไม่กล้ารับความเสี่ยง" --- จะเห็นได้ว่า กลุ่ม Baby Boomer ที่เริ่มเกษียณอายุกัน นั่งมอง "Port เงินเกษียณ อายุของตัวเองแล้วใจหาย --เพราะมันแย่ลง แย่ลง เรื่อยๆ"

.... จริงๆแล้ว ถ้าให้มองตามเศรษฐกิจ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ มูลค่าทรัพย์สินของคุณจะเพิ่มหรือลด ในเวลารวดเร็ว --แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หากคุณไม่จำเป็นต้องขายในเวลาที่ "ราคาตกมากๆ" เพราะด้วย ความ"ผันผวน"ของเงินทุนในปัจจุบัน เป็นไปได้อย่างมากที่ "มูลค่าทรัพย์สินของท่านที่ลดลงอย่าง ฮวบฮาบ อาจจะกลับมามีมูลค่าเท่าเดิมหรือ มากกว่าเดิมในเวลาไม่นาน --- นั่นหมายความว่า "คนที่กลัวและขายหุ้น หรือ ทรัพย์สิน ออกไปในราคาที่ต่ำ กลายเป็นคนที่เสียโอกาสนั่นเอง"

ดังนั้น ภาวะตลาดที่ผันผวน จะส่งผลให้ ตลาดหุ้น ยิ่งหวือหวามากขึ้น --จุดนี้เอง"หากเราไม่มีความรู้ หรือ ความเข้าใจในพื้นฐาน ของตลาดที่ดีแล้ว --เราอาจเสียรู้ และ"ขายหมู" ขายหุ้นในตอนที่ไม่ควรขายมากที่สุด

...ปัจจุบัน White Collar (พนักงาน Office) ต่างซื้อ LTF/RMF ไว้ลดหย่อนภาษี โดยที่ตัวเอง ไม่ได้มีความรู้เรื่องหุ้นเลย --เพราะจริงๆแล้วการซื้อ RMF/LTF มันก็คือ คุณซื้อหุ้นนั่นแหละ ..ปัญหาของคนซื้อที่ไม่มีความรู้มันเริ่มเน่าในอเมริกามานานแล้ว จาก 401K ที่คล้ายกองทุนเกษียณบ้านเรา คือ กลายเป็นว่า คนอเมริกา ซื้อหุ้น ผ่านกองทุน โดยที่ตัวเอง ไม่รู้เลยว่า "หุ้น" เป็นอย่างไร

--ช่วง ตลาด Crash ที่ผ่านมามันเกิดจาก คนเหล่านี้เริ่มเกษียณแล้วเริ่มถอนกองทุนเกษียณพร้อมๆกัน (ซึ่งคุณลองนึกดูว่า กองทุนเหล่านี้ก็คือ หุ้น พอทุกคนถอน(ขาย)พร้อมกัน ราคามันก็ตกเป็นธรรมดา ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่ 10 ปีมานี้ ตลาดอเมริกา แย่เอา แย่เอา...)

คุณลองย้อนกลับไปดูช่วงปี 1980 -2000 เป็นช่วงที่ Baby Boomer กำลังอยู่ในวัยทำงานมีรายได้สูง ทำให้คนเหล่านี้ เอาเงินเข้ามาซื้อกองทุนเกษียณอย่างมากมาย ส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าว ตลาดหุ้น Boom สุดๆ ..มองดูมันก็คล้ายๆกับ "แชร์แม่ชม้อย.. อะไรประมาณนั้น"

---คือ กลุ่ม Baby Boomer เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากสุด พอเขาอยู่ในช่วงของชีวิตจังหวะใด ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ทางแก้สำหรับ Baby Boomer ที่ฉลาด ก็คือ ไม่ดึงออกมาตอนนี้ รอให้ตลาดกลับไปดีก่อน ค่อยดึง.. แต่นั้น ก็เป็นปัญหาสำหรับหลายคนที่มีเงินเกษียณไม่พอใช้จ่าย แถมราคาบ้านก็ตกต่ำพร้อมๆกัน --คุณลองนึกดู ว่า กลุ่ม Baby Boomer มีสัก 100 ล้านคน ถ้าทุกคนอยากขายบ้าน --ใครจะมาซื้อ--ราคามันจึงตกธรรมดา ..กลุ่มคน Generation X และ Y ก็ยังไม่ค่อยมีเงินมาก แถมยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรุ่น baby boomer

คุณคิดว่า รัฐบาลจะทำอย่างไร --(ใช่ครับ) ไม่แปลกหรอกที่คนในยุคต่อไป จะต้องทำงานจนตาย ..รวมทั้งการพิมพ์เงินออกมามากๆ ทำให้มูลค่าเงินมันลดลง เพื่อ ดูดทรัพย์ ราคาบ้านที่ตกต่ำ --- คือ ถ้ามองอย่างไร มันก็ไม่ make sense ที่จะถือเงินสด ผมมองว่า เราควรกระจายไปใน Asset ต่างๆที่มีจำนวนจำกัด เช่น หุ้น ทอง ที่ดิน และอาศัยโอกาส และหาจังหวะของการผันผวนที่รวดเร็ว คือ พูดง่ายๆว่า ให้ซื้อ Asset ในทุกๆครั้งที่ราคาตกนั่นเอง...

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓