ลงทุนซื้อที่ดินในฝัน

ช่วงสัปดาห์ก่อนซึ่งเป็นเทศกาลตรุษจีนเป็นเวลาที่ผมค่อนข้างว่าง  ผมได้ไปทำภาระกิจเล็ก ๆ อย่างหนึ่งที่ผมก็อธิบายความรู้สึกยาก  สิ่งที่ผมทำก็คือ  ไปจ่ายภาษีบำรุงท้องที่ที่อำเภอบางบัวทอง  เนื่องจากผมมีที่ดินแปลงหนึ่งที่ได้ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2539-40 ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังบูมสุด ๆ  เป็นฟองสบู่และกำลังใกล้  แตก  ตั้งแต่ซื้อมาผมก็ได้รับใบเตือนให้ไปเสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปีหรือเกือบทุกปีผมก็จำไม่ได้แน่  แต่ที่พอจะจำได้ก็คือ  ผมเคยไปเสียจริง ๆ  เพียงหนึ่งหรือสองครั้ง  แต่ละครั้งผมก็จะถูกเรียกเก็บเงินที่ค้างจ่ายประมาณ 4-5 ปี รวมค่าปรับ  แต่คิดเป็นเงินแล้วก็แค่ 500-600 บาท   การไปจ่ายภาษีนั้นผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถ้าไม่จ่ายนานมาก ๆ  จะมีปัญหาอะไร  เท่าที่ดูก็เหมือนจะไม่มีปัญหานอกจากจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเล็ก ๆ  น้อย ๆ  แต่สิ่งที่ทำให้ผมไปก็เพราะผมอยากจะไปดูที่ดินว่ามันยังอยู่ดีไหม  มีใครไปรุกล้ำหรือมีคนมาสร้างบ้านในบริเวณใกล้เคียงกันมากน้อยแค่ไหน  พูดง่าย ๆ   มาติดตาม  ผลการลงทุน  ว่า  ทรัพย์สินชิ้นนี้น่าจะมีมูลค่ามากขึ้นหรือน้อยลงหลังจากผ่านไป 14 ปี
            ย้อนหลังไปในช่วงปี 2539-40  นั้น  ผมเองยังไม่ได้มีแนวความคิดของการเป็น  Value Investor เต็มตัวเหมือนอย่างในวันนี้   ในช่วงเวลานั้น  ผมยังเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินที่มีเงินเดือนดี  มีโบนัสงดงามปีละหลาย ๆ  เดือน  และมีเงินเก็บอยู่บ้าง   และแน่นอน  ความไฝ่ฝันของคนที่  ไม่มีบ้านหรือที่ดินเป็นของตัวเองก็คือ  การมีที่ดินที่จะสามารถปลูกสร้าง  บ้านในฝัน  ที่วันหนึ่งเราจะสามารถเข้าไปอยู่หรือพักผ่อนได้
            บ้านในฝันของผมนั้น  ก็อาจจะคล้าย ๆ   กับคนไทยอีกหลายคนที่คุ้นเคยกับชีวิตแบบไทยสมัยก่อน  นั่นก็คือ  จะต้องเป็นบ้านที่อยู่ติดกับคลองน้ำใส  ที่บ้านจะมีท่าเทียบเรือเล็ก ๆ  และเราจะมีเรือประจำบ้านที่จะใช้สัญจรทางน้ำไปตามสถานที่ต่าง ๆ  ที่อยู่ริมน้ำ  บ่อยครั้งเราแค่ไปนั่งอยู่ที่  ศาลาริมน้ำ  ความสุขก็น่าจะเหลือล้นแล้ว   แต่จินตนาการแบบนี้คงไม่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อที่ดินถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์สองเรื่องที่มาบรรจบเข้าด้วยกันนั่นก็คือ  เรื่องแรก  ในช่วงเวลานั้น  มีละครหลังข่าวที่กำลังดังมากออกอากาศอยู่เรื่องหนึ่งชื่อ  สองฝั่งคลอง  ถึงวันนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร   แต่ฉากของเรื่องทั้งหมดนั้น  เป็นบ้านริมน้ำหรือริมคลองน้ำใสที่มีชุมชนอยู่กันทั้งสองฝั่ง  บรรยากาศนั้นสุดแสนจะ  โรแมนติก  ผมดูแล้วก็รู้สึกอยากจะได้อยู่แบบนั้นบ้าง  เรื่องที่สองก็คือ  มีบริษัททำธุรกิจบ้านจัดสรรที่ผมรู้จักได้ทำโครงการจัดสรรที่ดินติดคลองบางบัวทอง   โดยมีที่ดินหลายแปลงที่ติดริมคลอง  ส่วนที่ดินแปลงอื่นก็จะมีการขุดคลองซอยเข้าไปทุกแปลง  ดูจากแปลนของโครงการแล้ว  ชุมชนแห่งนี้จะเป็นสวรรค์ของคนที่ชอบชีวิตแบบไทยที่บ้านติดริมน้ำ   ผมตัดสินใจซื้อแปลงที่ติดริมคลองอย่างรวดเร็วในราคากว่า 5 ล้านบาท  ด้วยเหตุผลเพิ่มเติมว่าระยะทางไปบางบัวทองนั้นไม่ไกลเกินไป  การเดินทางในอนาคตก็น่าจะสะดวกเพราะกำลังมีโครงการถนนหลายสายที่ผ่านไปทางแถบนั้น
            ก่อนที่จะถึงวันโอนที่ดินซึ่งน่าจะเป็นเวลาราว 1-2 ปี นับจากวันที่ผมทำสัญญาซื้อที่ดิน  บางบัวทองเกือบทั้งหมดก็จมอยู่ใต้น้ำกว่าหนึ่งเมตรและท่วมอยู่เป็นเดือน ๆ  ผมต้องจ้างเรือพาเข้าไปดูที่ในโครงการที่เสร็จแล้วซึ่งก็แน่นอน  มองไม่เห็น  เห็นแต่ยอดต้นไม้ที่ยังยืนต้นอยู่  ผมมีโอกาสที่จะไม่โอนและปล่อยให้โครงการยึดที่ไปแต่ผมก็ไม่ได้ทำเนื่องจากอาจจะเสียดายเงินดาวน์ 30%  ที่จ่ายไปแล้ว  ผมกลับยอมรับโอน  เหนือสิ่งอื่นใด  เจ้าของโครงการบอกว่าเราไม่ต้องจ่ายเงินก้อน  เพราะธนาคารยอมปล่อยกู้ให้  ผมแค่เซ็นชื่อแล้วก็ผ่อนหนี้ธนาคารเดือนละไม่เกิน 2-30,000 บาท  เขาบอกอีกว่าเรื่องน้ำท่วมเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติและคงไม่เกิดอีก  เพราะอนาคตจะมีการสร้างเขื่อนทางเหนือของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งจะทำให้น้ำไม่ท่วมริมฝั่งคลองบางบัวทอง
            หลังจากรับโอนที่ดินไปแล้ว  วิกฤติเศรษฐกิจก็เกิดขึ้น  บริษัทจัดสรรที่ดินก็น่าจะเกิดปัญหา  สาธารณูปโภคเช่นท่าเทียบเรือและสโมสรที่สัญญาว่าจะมีก็ไม่เกิดขึ้น   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนที่ซื้อที่ดินในโครงการต่างก็เจ็บหนัก  ดังนั้น  ก็ไม่มีใครไปสร้างบ้านในฝัน  ห้าปีที่แล้วที่ผมแวะไปดูที่  มีคนมาสร้างบ้านเพียงหนึ่งหลัง  และคราวนี้มีคนมาสร้างเพิ่มอีกหนึ่งหลัง  ที่ดินในโครงการเต็มไปด้วยหญ้าคาสูงท่วมตัวและมีคันดินกันน้ำจากคลองบางบัวทอง  ผมได้คุยกับชาวบ้านที่อาศัยในละแวกนั้นก็รู้ว่าน้ำเพิ่งจะลดไปไม่นาน  และน้ำก็ยังท่วมที่ดินบริเวณนั้นเป็นประจำในฤดูน้ำท่วม   ผมเองมองดูสภาพแล้วก็รู้สึกว่าน่ากลัวถ้าจะมาอยู่เพราะมันดูเปลี่ยว  โอกาสที่จะขายที่เป็นไปได้ยากมาก  ข้อสรุปของผมก็คือ  การซื้อที่ดินแปลงนี้เป็น  หายนะ  ของการลงทุน  สิบกว่าปีที่ผ่านมาผมไม่ได้อะไรเลย  และถ้าขายได้ก็คงเหลือเงินไม่เท่าไร  ประสบการณ์เรื่องนี้สอนผมว่า  ซื้อที่ดินนั้น  อย่าไปฝันหรือจินตนาการบรรเจิด  บ่อยครั้งนั้น  ที่ดินจะมีค่าจริง ๆ  ก็ต่อเมื่อมีคนมาอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าและเกิดเป็นชุมชน  ถ้าไม่มีชุมชน  ทุกอย่างก็เป็นเพียงฝันไม่ว่าที่ดินจะสวยแค่ไหน
            ผมเขียนเรื่องทั้งหมดมายืดยาวเป็นประสบการณ์ส่วนตัว   แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะ  เพราะผมได้คุยกับเพื่อนฝูงจำนวนมากที่พอมีเงินและได้ซื้อที่ดินเก็บไว้  ไม่ว่าจะเพื่อลงทุนหรือเพื่ออนาคต  เผื่อว่าจะไปอยู่หรือทำอะไรบางอย่าง  เกือบทั้งหมดประสบกับสถานการณ์เดียวกัน  มันไม่เป็นไปตามที่ฝัน  และถ้ามองในมิติของการลงทุนแล้ว  เกือบทั้งหมดไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดี  จำนวนมากอยู่ในข่าย  หายนะ 
            ข้อสรุปของผมสำหรับการลงทุนซื้อที่ดินก็คือ  ถ้าไม่ใช่ที่ดิน  เพื่อการค้า  ที่คนซื้อต้องใช้เงินมากและทำเลของที่ดินอยู่ใจกลางเมืองหรืออยู่ริมทะเลที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว   โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีมีน้อยมาก  แม้แต่ที่ดินตามป่าเขาที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือพักผ่อน  ถ้าเราซื้อโดยหวังที่จะได้ไปใช้ชีวิต  ในฝัน ในบางโอกาส  ผมก็คิดว่าโอกาส  ผิดหวัง  น่าจะมีสูงมาก  สำหรับผมในเวลานี้  ถ้าผมอยากจะรื่นรมณ์กับธรรมชาติและบรรยากาศในฝันที่ผมอาจจะได้พบเห็นจากภาพยนต์หรือสารคดี  ผมก็จะยอมจ่ายค่าที่พักโรงแรมดี ๆ  ที่อยู่ในบรรยากาศแบบนั้น  ผมจะไม่ซื้อที่ ในจินตนาการ  อีกแล้ว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘