ความคาดหวังเฟ้อ

เวลาที่เงินในท้องตลาดซึ่งอยู่ในกระเป๋าของคนมีมากเกินไป  เงินนั้นก็จะถูกนำไปไล่ซื้อสินค้าทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นมา  ผลก็คือ  สินค้าที่ได้ก็เท่าเดิมถึงแม้ว่าเราจะมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น  สถานการณ์แบบนี้เราเรียกว่า  เงินเฟ้อ   ในภาษาไทยนั้น  เรายังมีคำว่า  เฟ้อ ใช้ในหลาย ๆ โอกาส  เช่น  ท้องเฟ้อ  นี่ก็เป็นอาการที่ท้องปูดออกมาเพราะข้างในมีลมเต็ม  เป็นอาการที่ท้องโตขึ้นเพราะลมไม่ใช่เนื้อหนัง  ไม่ช้าก็จะยุบลง  อาการ เฟ้อ  นั้น  มักไม่ใช่สิ่งที่ดี  สิ่งที่เฟ้อนั้นดูเหมือนจะโตขึ้นแต่ไม่มีเนื้อหา  บางครั้งก็มีอันตราย  การเฟ้ออย่างหนึ่งที่ผมเห็นในช่วงที่หุ้นบูมเป็นกระทิงในช่วงนี้ก็คือ  ความคาดหวังเฟ้อ  และคนที่มีความคาดหวังเฟ้อมากเป็นพิเศษนั้น  ดูเหมือนจะเป็น  Value Investor จำนวนไม่น้อย  ที่ควรจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากกว่าคนอื่นและไม่เล็งผลเลิศ  อย่างไรก็ตาม  ในสถานการณ์ที่น่าจะเป็น  ปีทองของ VI” เช่นในปีนี้  ก็เป็นเรื่องยากที่  VI จะไม่ ฝันสุดขอบฟ้า           ความคาดหวังที่เฟ้อมากที่สุดที่ผมเห็นก็คือ  ฝันว่าจะสามารถทำผลตอบแทนการลงทุนต่อปีสูงมากกว่าที่น่าจะเป็นไปได้  นี่ก็เป็นความหวังหลังจากที่เขาสามารถสร้างผลตอบแทน  บางคนเป็นร้อยหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาแค่สองปีที่ผ่านมานี้  การลงทุนนั้นดูเหมือนจะ ง่ายมาก  ซื้อตัวไหน  ตัวนั้นก็มักจะวิ่งกันเป็นสิบหรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น  ดังนั้น  การตั้งความหวังของ VI ในเรื่องของผลตอบแทนก็คือ  อย่างน้อยก็ต้องได้ 15-20% ต่อปีในระยะยาว  คนที่ทำผลตอบแทนได้ดีมากก็อาจจะตั้งไว้ที่ 20-25%  บางคนก็อาจจะสูงถึง 30-40%  ดูเหมือนว่าการมีเงินหลายร้อยหรือพันล้านบาทเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินเอื้อม
            ในเรื่องนี้ผมก็อยากจะบอกว่า   ผลตอบแทนระยะยาวทบต้นเป็นเวลาเช่น 30 ปีนั้น   เป็นเรื่องยากที่จะทำได้สูงมาก   จริงอยู่ในภาวะที่ตลาดหุ้นดีและเป็นช่วงทองของหุ้นแนว “VI”  การทำผลตอบแทนที่ดีมาก ๆ  ขนาดได้กำไรเป็นร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ต่อปีนั้น  อาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้โดยเฉพาะที่เรายังมีพอร์ตไม่ใหญ่มาก   แต่การที่จะทำผลตอบแทนที่ดีมากต่อเนื่องในระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพอร์ตเราใหญ่ขึ้นและเรากล้าเสี่ยงน้อยลง  เหนือสิ่งอื่นใด  ตลาดหุ้นไม่ได้ดีอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ  ส่วนใหญ่แล้วดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นช้า ๆ  เฉลี่ยปีละประมาณ 7%  โดยมีปันผลอีกประมาณ 3% รวมแล้วก็คือ 10% ต่อปี  สถิติของเซียนหุ้น ระดับโลก  นั้น  ในระยะยาว  เขามักจะได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดไม่เกิน 10% ต่อปี  นี่ก็คือฝีมือระดับ วอเร็น บัฟเฟตต์  ถ้าเป็นระดับรองลงมาอย่าง จอห์น เนฟฟ์  ก็อาจจะประมาณ 3-4% ต่อปี  นั่นแปลว่า  ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 15% ต่อปีในระยะยาวถึง 30 ปี  สถิติของเราก็ไม่แพ้ จอห์น เนฟฟ์  และถ้าเราทำได้ 20% ต่อปี  เราก็ดีเกือบเท่าบัฟเฟตต์  และถ้าได้ 25% ต่อปี  โลกนี้ก็เป็นของเรา  เฟ้อไหมครับ?
            ความคาดหวังเฟ้ออีกเรื่องหนึ่งก็คือ  การคาดหวังว่าบริษัทที่เราเลือกลงทุนเป็น หุ้นโตเร็ว จะมีการเติบโตสูงมาก  เช่น  รายได้โตได้ปีละ 25-30% ในระยะยาว   ในขณะที่ผลกำไรที่ทำได้จะเติบโตตามหรือโตมากกว่าเนื่องจากบริษัทอาจจะมี  Economy Of Scale ดีขึ้น   ความคาดหวังนี้  มักจะมาจากการที่ได้เห็นการเติบโตของบริษัทในช่วง 2-3 ปี  ที่ผ่านมาที่น่าประทับใจมาก  ประกอบกับ  Model หรือรูปแบบการประกอบการของบริษัทนั้นดู โดดเด่น กว่าคู่แข่งและไม่เห็นว่าใครจะเข้ามาแข่งขันได้อย่างน้อยในช่วงเวลานี้  ดังนั้น  เขาก็จะเข้าซื้อหุ้นโดยหวังว่าหุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นไปอย่างโดดเด่น  อาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาไม่นาน  พอเข้าซื้อแล้ว  มหัศจรรย์  ก็เกิดขึ้น  หุ้นอาจจะขึ้นไปสองร้อยเปอร์เซ็นต์  สิ่งที่เขาคาดหวังไว้ถูกต้องหมด  จริง ๆ  มากกว่าที่หวัง  ความสำเร็จนี้  ทำให้เขาเชื่อว่า  หุ้นที่โตเร็วขนาดปีละ 25-30% ในระยะยาวมีจริงและมีไม่น้อย  การซื้อหุ้นเหล่านี้ในช่วงที่ราคายังไม่ปรับตัวขึ้นมากคือหนทางแห่งความสำเร็จ
            แต่บริษัทที่โตระยะยาวเช่น 20-30 ปีในอัตรา 25-30% ต่อปีนั้น  มีจริงไหม?  ผมเองไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งในเรื่องนี้   แต่จากการติดตามบริษัทที่เติบโตจริง ๆ  ไม่ใช่บริษัทที่โตชั่วคราว 2-3 ปี แล้วก็กลับมาที่เดิมนั้นพบว่า  บริษัทที่สามารถเติบโตได้ถึงปีละ 10%  ก็ค่อนข้างดีแล้ว  การเติบโตปีละ 15%  แบบทบต้นนั้น  ต้องถือว่าเป็น Super Growth หรือเป็นบริษัทที่เติบโตสุด ๆ  ถ้ามองระดับอินเตอร์ก็คงจะเป็นระดับบริษัท  Exxon ผู้ผลิตน้ำมันระดับต้น ๆ ของโลก  หรือถ้ามองในเมืองไทยก็น่าจะประมาณกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยที่โตเร็วต่อเนื่องมากว่า 30 ปี   ส่วนการโตปีละ 20%  นั้น  ผมคิดว่าน่าจะหาได้ยากมากประเด็นสำคัญที่ทำให้คนมักเข้าใจผิดถึงการเจริญเติบโตก็คือ  เขามักจะมองระยะสั้นแล้วตีความไปว่าระยะยาวก็คงเป็นอย่างนั้น  ดังนั้น  ในช่วงที่บริษัทขยายตัวมากโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังร้อนแรงในปีนี้จึงทำให้หลายคนมองว่าหุ้นบางตัวนั้นเป็น หุ้นโตเร็ว  และโตได้ถึง 25-30% ต่อปี ซึ่งถ้าดูจากสถิติแล้ว  ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้  เป็นการคาดหวังเฟ้อ
            อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ  การเติบโตของธุรกิจนั้น  บางทีก็ทำให้เร็วกว่าปกติมาก ๆ  ได้  ทางหนึ่งก็คือ  ซื้อกิจการของคนอื่น  แบบนี้บริษัทก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่อาจจะสูงจนทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทไม่เพิ่มขึ้น  ซึ่งก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว  อีกทางหนึ่งก็คือ  การลงทุนขยายตัวในธุรกิจผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่มักมีผลกำไรในระยะยาวต่ำหรือเท่ากับผลตอบแทนของเงินลงทุนปกติ  การทำแบบนี้ก็อาจจะทำให้บริษัทสามารถโตเร็วกว่าปกติได้  เพราะสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมากนั้น  มีตลาดไม่จำกัดเพราะเป็นตลาดโลก  ดังนั้น  บริษัทจะโตเท่าไรก็ได้  แต่โตแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร  เพราะต้องลงทุนสร้างโรงงาน  กำไรที่เพิ่มขึ้นก็คือผลตอบแทนปกติของเงินทุนที่ลงไป  ประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของเงินก็ไม่มี
            ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ  ความเฟ้อของความคาดหวังที่เกิดขึ้นนั้น  เกิด ขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ระยะสั้นในระยะนี้ที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตเร็วและมา จากฐานที่ต่ำซึ่งเป็นผลจากปี 2008 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในสหรัฐ  ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดูดีมากและมีแนวโน้มที่จะดูดีต่อไป  แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ดัชนีตลาดหุ้นและราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมา  ยืนยันความเชื่อหรือความคาดหวังนั้นส่งผลให้ความคาดหวังในรอบต่อไป  เฟ้อ  เขาคิดว่า  อนาคตก็จะเป็นแบบนั้นต่อไปอีกนาน  แต่สถิติที่ผ่านมายาวนานบอกว่าสิ่งที่หวังไว้นั้น  ไม่น่าเป็นไปได้  อย่างไรก็ตาม  ก็อาจจะมีคำถามตามมาว่า  มีอะไรเสียหายถ้าจะ  ฝันให้ไกล  เพราะถ้าฝันให้ไกลแล้ว  ถึงแม้ไปได้แค่ครึ่งทางก็ยังน่าจะดีกว่าตั้งเป้าหมายไว้ต่ำ ๆ   คำตอบของผมก็คือ  การฝันไกลเกินไปอาจจะทำให้เราพยายาม เร่ง ผลตอบแทนเกินตัว เช่น  การใช้มาร์จิน  การไม่กระจายความเสี่ยงเพียงพอ  และนั่นคืออันตราย  การลงทุนนั้น  เหมือนการแข่งขันวิ่งมาราธอน  การวิ่งเร็วมาก ๆ  ไม่ใช่หนทางที่จะชนะ  เพราะฉะนั้น  อย่าตั้งความคาดหวังสูงเกิน  และไม่ต้องดูว่าใครจะทำผลตอบแทนเท่าไร  กำหนดเส้นทางของตนเองที่เหมาะสมที่สุดแล้วเดินตามทางนั้น  ไม่ต้องรีบ  

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘