ประสบการณ์ไม่ใช่ของฟรี ประเด็นมันอยู่ที่ใครเป็นคนจ่ายต่างหาก


หลายคนตั้งคำถามกับชีวิตว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไร" ถ้าตอบแบบพระก็เกิดมาเพื่อตาย "งั้นใครอยาก(เกิด)ต้องรีบไปตายเลย..หุ หุ" จริงๆแล้วทั้งชีวิตของคนเรามันก็เป็น การนำประสบการณ์ต่างๆมาร้อยเรียงกัน กลายเป็นหนังน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง --หลายคนทนดูละครน้ำเน่าไม่ไหว แต่ไฉนชีวิตจริงเดี๋ยวนี้ มันกลับเน่ายิ่งกว่าหนังเสียอีก) ..แบบว่า พวกผู้กำกับมือใหม่จะถ่ายหนังต้องไปตามดูชีวิตของของคนสมัยใหม่(สุดยอด สับสน-- แบบกิ๊ก ไปแอบมีกิ๊ก ซึ่งสุดท้าย กลายเป็น กิ๊กก๊อก !!)

เราทุกคนมุ่งหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายก็ต้องเอาเงินนั้นมาเปลี่ยนเป็นประสบการณ์อยู่ดี เช่น ประสบการณ์นั่งรถสปอร์ต Porche , ประสบการณ์นั่งบนเรือยอร์ท , ประสบการณ์การกินหูฉลาม ,ประสบการณ์ไปเที่ยวอิตาลี ดังนั้นสิ่งที่ได้จากการซื้อประสบการณ์ คือ หนึ่ง ประสบการณ์ และก็สอง ภาพถ่าย (จ่ายหนึ่งแต่ได้สอง คุ้มจริงๆ)

เอาเป็นว่า การเปลี่ยนเงินเป็น ประสบการณ์มักเป็นเรื่องไร้สาระ!! แต่มีประสบการณ์อยู่ประเภทนึงที่ต้องเจอกันทุกคน เพียงแต่ไม่มีใครอยากจะซื้อมัน "มันก็คือประสบการณ์ความล้มเหลวนั่นเอง" ..จริงๆแล้วเส้นแบ่งของความล้มเหลวกับความสำเร็จมันเป็นอะไรที่ ก้ำกึ่ง ถ้าเทียบกับหุ้นก็คือ (ณ จุดที่ต่ำสุดของ Bottom ของตลาด มันก็คือ จุดเริ่มต้นของ Bull Market นั่นเอง) ดังนั้น จุดต่ำสุดของประสบการณ์ความล้มเหลว มันก็คือ จุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่ดี (งง ว่ะ แล้วเหลวมันจะดียังไง!!)

ประเด็นที่เรามักจะมองข้ามก็คือ ประสบการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีหรือแย่ มันย่อมต้องเสียตังค์ทั้งนั้น .."มันขึ้นอยู่กับว่าตังค์ใครต่างหาก" ..ถ้าเราไปคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ เขาเหล่านั้น(ทุกคน) จะพูดตรงกันว่า ที่เขาสำเร็จในวันนี้ก็เพราะเขาล้มเหลวมาก่อน (ซึ่งช่วงแรกๆที่ได้ฟัง ผมก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ถ้าล้มเหลวแล้วมันจะสำเร็จได้อย่างไร) ..มาเข้าใจจริงๆ ก็ตอนที่เจอกับตัวเองนี่แหละ แต่สิ่งที่ผมมาคิดได้ ก็ตอนที่เสียเงินตัวเองไปแล้ว (โง่จริงๆ)

จากนั้นผมย้อนกลับไปอ่านประวัติของคนดังๆที่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ยักจะเขียน ตรงที่ "แล้วใครเป็นคนจ่ายค่า ประสบการณ์ล้มเหลวให้คุณล่ะ -- อย่างของคุณทักษิณเคยเจ๊ง ติดหนี้เป็นร้อยล้าน ก่อนที่จะมารวยเป็นหมื่นล้าน หรือ อย่างของโดนัลด์ ทรัมป์ (Real Estate Tycoon ของอเมริกา)ก็เคยล้มเหลวติดหนี้มหาศาลมาก่อน --"คิดๆๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่ามันเป็น OPM (Other People Money) พูดง่ายๆก็เงินคนอื่นนั่นแหละ จะเห็นได้ว่าคนยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้มเหลวมาไม่รู้กี่รอบ ..ไอ้รอบแรกก็(ยังโง่อยู่)เสียเงินตัวเอง แต่พอลมครั้งต่อๆไปก็กลายเป็นเงินธนาคารบ้าง เงินเพื่อนบ้าง เงินผู้ร่วมทุนบ้าง

ตอนนี้ผมเลยเข้าใจเลยว่า "ความเก่ง ก็มาจาก การใช้เงินคนอื่นซื้อประสบการณ์ให้ตัวเอง แข็งแกร่งและเก่งขึ้น" แต่คำถามคือ "คุณเก่งพอไหมที่จะทำให้ คนอื่นยอมเอาเงินมาประเคนให้คุณหาประสบการณ์จากมัน" (นี่แหละหัวใจ Key Success Factor ของ นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ !! -(OPM)- ทำเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้) ...เอ้า!! ฝึกกันต่อไป...

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘