“Asset ทอง” โอกาสของ Trader (by Monkey Trade)
ในการความเข้าใจของคนทั่วไป Trader มีอยู่หลายแบบ ..เอ๋อ!! ถูกต้องแล้วครับ (มีอยู่หลายแบบ) แต่แบบที่ Monkey Trade นำเสนอก็คือ Commodity Trader “แบบบูรณาการ..เท่ห์ไหม!! ”(ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ยึดติดว่า จะต้อง Trade Commodity เพียงอย่างเดียว) แท้จริงแล้ว การ Trade มันขึ้นอยู่กับ “โอกาสทอง ของการเข้าทำกำไรนั้นเอง”
การ เปิด Port ของหยง เป็นการไปเปิดบัญชี Online กับ Broker ในต่างประเทศ (ทั้งสิงค์โปร์ และ ฮ่องกง) จึงสามารถทำการซื้อขายหุ้น รวมทั้ง Commodity ที่ใดก็ได้ในโลก …แต่สาเหตุที่หยง เลือกที่จะ Focus ในส่วนของ Commodity เป็นพิเศษเพราะมัน “กำไรสุดขีดนั่นเอง!!”
“การหาช่องว่าง” --ไม่ว่าจะเป็น Asset ใดก็ตาม การมองช่องว่างในการ Trade จะต้องมี Trend การขึ้นลงที่ค่อนข้างชัดเจน (และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ หยงจะไม่ค่อยใช้ Technical มาวิเคราะห์หุ้นรายตัวมากนัก เพราะส่วนใหญ่ตลาดเราตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา การขึ้นของตลาดหุ้นเรา เป็นแบบ side way up แต่ไม่แจ๋วเท่าตลาดเพื่อนบ้าน ซึ่งเขาได้ผ่าน peak ก่อน “ต้มยำกุ้งไปหมดแล้ว” …SET เราล้าหลังมากๆ
ถ้าวัดกันจริง Commodity อย่าง Sugar หรือ Gold มีการขึ้นลงที่ค่อนข้างชัดเจนมากกว่า …อย่างที่เคยกล่าวมาว่า “การ Trade ไม่ได้ซื้อหุ้นต่ำสุด แล้วไปขายที่สูงสุด” หากแต่เป็นการทำกำไร(ช่วงกลางชิ้นเนื้ออันโอชะ!!) จึงต้องหา Asset ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ …จะเห็นได้ว่าหุ้นที่ขึ้นลงอย่าง “ยึกยือๆ!!” มันไม่เหมาะกับการ Trade
“แล้วการเปิดบัญชีในต่างประเทศ มันยากไหมล่ะ” --- เฮอะๆ มันก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่า เราต้องไปเปิดบัญชีธนาคารรวมทั้งการเซ็นต์เอกสารต่างๆเท่านั้นเอง ..ประเด็นมันอยู่ที่ การมี port ในต่างประเทศมันเป็นการลดความเสี่ยงที่ดี ในสภาวะโลกที่บ้าคลั่ง เช่นนี้
จุดที่น่าสนใจ ถ้าคุณสังเกตุให้ดี ถ้าเรามองในส่วนของ Asset คือ ทุกอย่างที่มีค่า ที่เราซื้อขายกัน ตั้งแต่ Commodity ประเภทต่างๆ ไปจนหุ้นในตลาดต่างๆ ทั่วโลก มันจะไม่ขึ้นลงพร้อมกัน ---ดังนั้น ถ้าเราสามารถซื้อขายได้ทั่วโลก มันทำให้คุณ “เหนือชั้นไม่น้อย” เพราะคุณไม่ put all the eggs in one basket …
(อย่างช่วงลอยตัวค่า เงินบาท หยงก็จะรวย 2 เท่า ในขณะที่คนไทยจนลงครึ่งนึง “เผอิญช่วงนั้น หยงยังไม่ได้เป็น Trader ..ไม่งั้นนะ!! ตลาดจะต้องจารึก --- เอาเป็นว่า หยงเขาจะรอครั้งหน้าละกัน ..เราใกล้ Asian Miracle 2 แล้ว เดี๋ยวมีเฮ!! กันอีกไม่กี่ปีครับ)
Monkey Trade จึงเป็นการปูทางท่าน go inter อย่างค่อยเป็น ค่อยไป …. ระหว่างนี้ค่อยๆศึกษา และเรียนรู้ --ผมเชื่อว่า ฝรั่งไม่ได้เก่งกว่าคนไทย เพียงแต่เขามีโอกาสที่เข้าถึงเครื่องมือ ที่มากกว่าเรา ในจุดนี้ก็คือ เครื่องมือทางการเงินและการลงทุน แต่ไม่ท้อ …สู้ สู้
การ เปิด Port ของหยง เป็นการไปเปิดบัญชี Online กับ Broker ในต่างประเทศ (ทั้งสิงค์โปร์ และ ฮ่องกง) จึงสามารถทำการซื้อขายหุ้น รวมทั้ง Commodity ที่ใดก็ได้ในโลก …แต่สาเหตุที่หยง เลือกที่จะ Focus ในส่วนของ Commodity เป็นพิเศษเพราะมัน “กำไรสุดขีดนั่นเอง!!”
“การหาช่องว่าง” --ไม่ว่าจะเป็น Asset ใดก็ตาม การมองช่องว่างในการ Trade จะต้องมี Trend การขึ้นลงที่ค่อนข้างชัดเจน (และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ หยงจะไม่ค่อยใช้ Technical มาวิเคราะห์หุ้นรายตัวมากนัก เพราะส่วนใหญ่ตลาดเราตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา การขึ้นของตลาดหุ้นเรา เป็นแบบ side way up แต่ไม่แจ๋วเท่าตลาดเพื่อนบ้าน ซึ่งเขาได้ผ่าน peak ก่อน “ต้มยำกุ้งไปหมดแล้ว” …SET เราล้าหลังมากๆ
ถ้าวัดกันจริง Commodity อย่าง Sugar หรือ Gold มีการขึ้นลงที่ค่อนข้างชัดเจนมากกว่า …อย่างที่เคยกล่าวมาว่า “การ Trade ไม่ได้ซื้อหุ้นต่ำสุด แล้วไปขายที่สูงสุด” หากแต่เป็นการทำกำไร(ช่วงกลางชิ้นเนื้ออันโอชะ!!) จึงต้องหา Asset ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ …จะเห็นได้ว่าหุ้นที่ขึ้นลงอย่าง “ยึกยือๆ!!” มันไม่เหมาะกับการ Trade
“แล้วการเปิดบัญชีในต่างประเทศ มันยากไหมล่ะ” --- เฮอะๆ มันก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่า เราต้องไปเปิดบัญชีธนาคารรวมทั้งการเซ็นต์เอกสารต่างๆเท่านั้นเอง ..ประเด็นมันอยู่ที่ การมี port ในต่างประเทศมันเป็นการลดความเสี่ยงที่ดี ในสภาวะโลกที่บ้าคลั่ง เช่นนี้
จุดที่น่าสนใจ ถ้าคุณสังเกตุให้ดี ถ้าเรามองในส่วนของ Asset คือ ทุกอย่างที่มีค่า ที่เราซื้อขายกัน ตั้งแต่ Commodity ประเภทต่างๆ ไปจนหุ้นในตลาดต่างๆ ทั่วโลก มันจะไม่ขึ้นลงพร้อมกัน ---ดังนั้น ถ้าเราสามารถซื้อขายได้ทั่วโลก มันทำให้คุณ “เหนือชั้นไม่น้อย” เพราะคุณไม่ put all the eggs in one basket …
(อย่างช่วงลอยตัวค่า เงินบาท หยงก็จะรวย 2 เท่า ในขณะที่คนไทยจนลงครึ่งนึง “เผอิญช่วงนั้น หยงยังไม่ได้เป็น Trader ..ไม่งั้นนะ!! ตลาดจะต้องจารึก --- เอาเป็นว่า หยงเขาจะรอครั้งหน้าละกัน ..เราใกล้ Asian Miracle 2 แล้ว เดี๋ยวมีเฮ!! กันอีกไม่กี่ปีครับ)
Monkey Trade จึงเป็นการปูทางท่าน go inter อย่างค่อยเป็น ค่อยไป …. ระหว่างนี้ค่อยๆศึกษา และเรียนรู้ --ผมเชื่อว่า ฝรั่งไม่ได้เก่งกว่าคนไทย เพียงแต่เขามีโอกาสที่เข้าถึงเครื่องมือ ที่มากกว่าเรา ในจุดนี้ก็คือ เครื่องมือทางการเงินและการลงทุน แต่ไม่ท้อ …สู้ สู้