เล่นหุ้นแบบตาสว่าง : ตอนที่ 8 : พื้นฐานบริษัท กับ ราคาหุ้น ในตลาด SET


นี่ เป็นข้อขัดแย้งกันระหว่าง สำนัก Fundamental และ สำนัก Technical …ว่าแท้จริงๆแล้ว ตลาดหุ้นและราคาสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทเท่าไหร่

จริงๆแล้วในความเป็นจริง ..ไม่มีใครถูก 100% ตลอดเวลา “มันขึ้นอยู่กับเวลาและสถานการณ์” …(งง)

ผม จะยกตัวอย่าง ตลาดในช่วง 2008 ขึ้นมาให้ดู “ช่วงนั้นทั่วโลกเกิดปัญหา Financial Crisis ที่เรียกว่า SubPrime” ตลาดหุ้นร่วงระนาว จาก 900 จุด ลงมาแตะ 300 กว่าจุด …ในตอนนั้น หากวิเคราะห์ Fundamental จะเห็นได้ว่า พื้นฐานบริษัทต่างๆ ยังไม่เห็นมีอะไรกระทบ…สิ่งที่กระทบคือความรู้สึกว่า “มันกำลังจะมีปัญหา” ทำให้ผู้ประกอบการยิ่งลดคนงาน พยายามรัดเข็มขัด

…ผล ก็คือ “มันไม่ได้กระทบตลาดเอเชีย อย่างที่ทุกคนคาดกัน” ..ดังนั้น การรัดเข็มขัดของผู้ประกอบการต่างๆ ก็เลยส่งผลให้ กำไรของกิจการดีขึ้นไปอีก ..พอทุกคนรู้ว่า เศรษฐกิจเราไม่ได้แย่อย่างที่ทั่วโลกคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการก็ รับคนเข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น ..เริ่มเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจ

บทสรุปของ Sub-Prime ทำให้ “เอเชีย” แข็งแกร่งขึ้นไปอีก … เวลานี้เงินทั่วโลก จึงเริ่มให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในเอเชีย ..เริ่มจากตราสารหนี้พันธบัตร ..และสุดท้ายก็ต้องเข้ามาตลาดหุ้นในที่สุด

นี่คือ ภาพจริงแบบคร่าวๆ ที่ตลาด SET จาก 300 กว่า จุดขึ้นมาแตะ 1,000 จุดในปัจจุบัน …และผมก็ยังมองไม่เห็นว่า มันจะมีอะไรมาฉุดแรงๆ ที่จะทำให้เรากลับไปพังใหม่

ผมอธิบายภาพเศรษฐกิจมาอย่างยืด ยาว เพื่อที่จะบอกว่า ทั้ง Fundamental และ Technical ในช่วงเวลาแห่งความผันผวนก็ต่าง (งง) ด้วยกันทั้งคู่ …เพิ่งจะมาเริ่มตั้งตัวอยู่ทั้งสองสำนักก็เพิ่งปี 2009 ที่สำนัก Fundamental เริ่ม Port หายจมน้ำ เพราะเนื่องจาก ถือผ่านช่วง Sub-prime (ตอนนั้น Fundamental ก็ใจหายใจคว่ำ ที่วิเคราะห์ว่าพื้นฐานไม่เป็นไร ไม่ต้องขายหุ้น แต่ปรากฏว่าหุ้นตกลงไปกว่าครึ่ง “ใจหาย” …แต่ปัจจุบัน Fundamental ที่ถือหุ้นผ่าน Sub-Prime ก็ยิ้มกันถ้วนหน้าแล้ว เพราะกำไรแล้ว)

ในฝั่งของ Technical จากต้นปี 2009 -2010 ก็เข้าออก เข้าออก ..ไม่รู้กี่รอบ แต่ปรากฏว่า ผลตอบแทนสู้ VI (Value Investor ) ไม่ได้ … “เรียกได้ว่า ตลาด Bull อย่างแรงติดต่อกัน 2 ปี 2009 – 2010 ทำเอา Technical สงสัยกันไปตามกันว่า เขาวิ่งเข้าออกจนเหนื่อยแต่ผลตอบแทนกลับสู้คนที่ Buy & Hold อยู่เฉยๆไม่ได้

สรุป กลับมาที่ประเด็นที่บอกว่า ..ต้องเลือกอาวุธให้เข้ากับสถานการณ์ ..ถ้าจะสู้กับศัตรูที่อยู่ไกลๆก็ใช้ปืนยาว ..ถ้าใกล้ๆก็ใช้ มีดสั้น!! …มองทุกอย่างด้วยใจเป็นกลางแล้วคุณจะเข้าใจการลงทุนมากขึ้น!!

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘