คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 4 (หาจุดสุดยอด"โอ้ว!!"ให้เจอ)

ป๋าหยง : "หาจุดสูงสุดให้เจอ ...เฮอะ ๆ ๆ" (ผมไม่ได้ฝันใช่ไหมนี่...บ้าหรือ!! มันไม่มีครับ!!) แค่คำถามที่ผมตั้งเอง ก็ตอบเองเลยว่า ใครจะไปรู้จุดสูงสุด !!

ภาววิทย์ : เอ๋อ!! สรุปงั้นเราปิดประเด็นเลย ใช่ไหมป๋า "ประกาศ ไม้ตายป๋าหยง หาจุดสูงสุด คืนสู่สามัญ สรุปว่า "ไม่มี" ฮ่า ฮ่า ฮ่า (การสนทนานี้ช่างสั้นจริงๆ)

ป๋าห ยง : เฮ้ย++ เดี๋ยวๆๆ"ผมยังพูดไม่จบเลย" คือที่เปิดประเด็นขึ้นมาเพราะอยากจะชี้ให้เห็นว่า การหาจุดสูงสุดแบบเป๊ะๆ มันไม่มีหรอก เพราะคุณคาดการณ์อนาคต แต่ผมไม่ได้บอกว่า เราไม่สามารถหาจุดนั้นได้ "(ทำได้)แถมค่อนข้างแม่นด้วย"

ภาววิทย์ : "จริงหรือ ป๋าหยง -- เราสามารถหาจุดสูงสุดได้จริงๆ หรือ ..ทำไงล่ะ!!"

ป๋าหยง : เอ้า!! ดูที่กราฟ


นี่ เอาตัวอย่างง่ายๆ กับการใช้ Indicator ง่ายๆอย่าง RSI มาช่วยดู ...RSI ดูอะไร "ก็ดู Momentum" ดูรอบของมัน ..อย่างที่เรารู้ๆกันว่า Price Move in Trend "ก็คือหุ้นมันขึ้น หรือลง มันก็จะเคลื่อนไปเป็น Trend ..ดังนั้น ถ้าขาขึ้นมันก็จะแสดง Trend ขาขึ้นมาในสัญญาณ Technical"

อย่างใน ตัวอย่าง เราก็ยึด Peak & Trough เป็นกรอบให้เห็น Trend ..อย่างช่วงขาขึ้น หากเราเอาทฤษฎี Dow มาจับตาม ระบบ Peak & Trough เราก็จะดูได้ว่า หาก Trend ยังคงอยู่ในขาขึ้น สัดส่วนในการขึ้น ก็จะขึ้นแบบคลื่น แต่หลักการง่ายๆของ Dow คือ ราคาปิดมันไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้ามอย่างชัดเจน "เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน (เช่น การลงอย่างต่อเนื่อง)นั่นมันหมายถึงสัญญาณของการเปลี่ยน Trend หรือ ขาลงนั่นเอง"

การหาจุดสูงสุด เราจะดู RSI ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของราคาในภาพที่ใหญ่ขึ้น เมื่อสัญญาณของ RSI มันเริ่มอ่อนตัวลง มันก็เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เราสามารถตัดสินใจว่า ควรจะออกหรือไม่ --เพราะโดยมากเมื่อ RSI ขึ้นไป Peak จากนั้นหากมีการย่อตัวลงมา มันก็คือ จุดเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลงนั่นเอง

ภาววิทย์ : มันจริงหรือ!!

ป๋าห ยง : "ส่วนใหญ่นะ... แต่ไม่ใช่เสมอไป" อย่างที่ผมบอกว่า Technical เป็นเครื่องช่วยในการศึกษาราคาในอดีตที่อาจจะส่งผลต่ออนาคต มันไม่ใช่เครื่องมือหมอดูที่จะเอามาทำนายอนาคต "คุณเข้าใจไหม"

ภา ววิทย์ : งั้นแปลว่า ..การเริ่มยกตัวของ RSI (จากกราฟ) มันบ่งชี้ถึงสัญญาณในการขึ้น จากนั้นเมื่อ RSI เริ่มลงอย่างชัดเจน (จากกราฟ) คุณก็ให้เลือกจุดออกตามความพอใจ ..ดังนั้น ตราบใดที่ RSI ยังอยู่ในระดับสูงๆ ก็ให้ Let Profit Run ไปเรื่อยๆ

ป๋าหยง : "ถูกต้องเลย" ..เสริมอีกนิดว่า ตรงนี้มันเป็นศิลป์ ไม่ใช่ ศาสตร์ ดังนั้นความแม่นยำมันขึ้นกับการฝึกฝนของคุณ

ภาววิทย์ : แล้ว MACD ที่เขานิยมดูกัน เอามาทำอันหยัง ล่ะป๋า!!

ป๋าห ยง : อ๋อ!! MACD ดูง่าย ตัวเร็ว ตัดตัวช้า เป็นสัญญาณ "บอกใบ้" -- ตัดลง"ขาย" ตัดขึ้น"ซื้อ" (ง่ายไหมล่ะ) ..ตัว MACD เป็นค่าเฉลี่ยส่วนต่างของราคา ดังนั้น เอาตัว"เร็วกับช้า"มาดูการเปลี่ยนแปลง มันก็ช่วยให้เราเห็น แนวโน้มของราคานั่นเอง!!

ภาววิทย์ : โอเค (ผมเข้าใจแล้ว) หาก MACD "ตัวเร็ว"ตัดลงใส่"ตัวช้า" ก็คือสัญญาณขาย (แต่อย่างในกราฟ เผอิญเราใช้ MACD ที่ค่อนข้างช้ามันก็เลยตัดช้า "ตัดช้าก็หมายถึงการขายที่ช้า ซึ่งบางคนอาจจะบ่นว่า อย่างนี้ก็ติดดอย" ..แต่ประเด็นที่ผมจะชี้ คือ สัญญาณอย่าง MACD ที่เร็วๆ ...จริงอยู่ให้สัญญาณซื้อขายได้เร็ว "แต่บางครั้งมันอาจเร็วจนทำกำไรแทบไม่ได้"

..อย่าง Monkey Trade เราจะเน้นการ Let Profit Run ให้เต็มที่ก่อนขายนั่นเอง (อันนี้ขอแนะนำให้ไปฝึกดู บางคนใช้เส้นเร็วที่ 7 วัน ตัดเส้นช้าที่ 14 วัน ..อันนี้ขอบอกอีกครั้งว่า มันเป็น Art ไปหาเอาเอง)

ป๋าหยง : ฮึม RSI และ MACD ก็สรุปคือมันคือเอา "ราคา" มาตัดไปตัดมา จาก "ราคาภาพแบนๆ" พอเอาราคามาหาส่วนต่างก็เกิด ภาพของแนวโน้มของราคา "สรุปก็คือ ดูราคา สร้างให้เป็น 3 มิติ ใส่จินตนาการณ์เข้าไป" ....ฮ่า ฮ่า นี่แหละ Technical ดูง่าย แต่ลึกๆมันอยู่ที่การฝึกฝนและการมอง "และนี่คือ จุดที่กินกัน!!"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘