รวบรวม25กฎของอาจารย์บุญชัย 02
2. Voiceในเชิงภาษาอังกฤษนั้นในการพิจารณา Verb
จำต้องพิจารณาแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1) รูปแบบการใช้ tense ให้ถูกจังหวะและโอกาส หรือกาลเทศะ
2) รูปแบบของการกระทำนั่นคือ Voice ซึ่งจะมี 2 ส่วนคือ ไปกระทำเขา = active ถูกเขากระทำคือ passive
ซึ่งเรื่องของ voice อันนี้จะเกี่ยวโยงกับเรื่องหลาย ๆ อย่าง ทั้งรูปแบบของ compound adj
การเปลี่ยนรูปจาก verb เป็น adj (ดูเกร็ดย่อยเพิ่มเติม)
นิยามหรือหลักการ:Voice คือ การพิจารณารูปแบบการกระทำว่าเป็นสิ่งที่ถูกกระทำหรือไปกระทำเขา
เทคนิคการจำ:จำง่าย ๆ จากเรื่องสุนัข ว่าไปเตะหมา หรือถูกหมากัด ... เช่น
ผมไปเตะสุนัข --> อันนี้เป็น active
ถูกสุนัขกัด --> อันนี้เป็น passive
ประโยคง่าย ๆ เช่น
ผมไปเตะสุนัข ดังนี้ผมก็เลยถูกสุนัขกัด
ความรู้พื้นฐาน
ความรู้พื้นฐานคือ tense (ถ้ายังไม่เข้าใจให้กลับไปอ่านข้อ 1 tense)
และการสื่ออามรณ์ความเร็วของการถูกกระทำ
นั่นคือหลักตรรกะทั่วไป แบบไม่ซับซ้อนไม่ต้องคิดลึก ว่าใครถูกกระทำ และใครเป็นผู้กระทำ
รูปมีสองส่วนส่วนแรก คือรูปของ การกลับ Active เป็น Passive
และส่วนที่สองคือการ ผัน verb tense จาก active voice เป็น passive voice
1. รูปของการกลับจาก Active เป็น Passive ดังนี้Active: ---> S+V(active Verb)+O
Passive: ---> S(จาก Object ของ Active) + V(passive Verb) + by + O(จาก Subject ของ Active)
เช่น I kick the ball. ---> The ball is kicked by me.
ผมเตะลูกบอล ---> ลูกบอลถูกผมเตะ
2. Verb ในรูป Active Voice และ Passive Voice
อันนี้เหมือนสมการจะมีรูปแบบการผันเช่นเดียวกับของ tense คือ การนำ verb to be+V3 ต่อท้ายผนวกสมาธิ กับ รูป tense เดิม
เช่น present simple ---> ก็จะได้ รูป active = v1 , passive = is/am/are+V3 เป็นต้น
จาก tense ด้านบนเป็นรูป active จะเขียนเป็น ทั้งรูป active และ passive ได้ดังนี้
ทั้งนี้ตัวในวงเล็บคือตัว V.to be ที่มีการสมาธิกัน
Past Present Future
Simple
Active: V2 V1 will/shall+V1
Passive: (was/were)+V3 (is/am/are)+V3 will/shall+(be)+V3
Continuous
Active: was/were+Ving is/am/are+Ving will/shall+be+Ving
Passive: was/were+(being)+V3 is/am/are+(being)+V3 will/shall+be+(being)+V3
Perfect Simple
Active: had+V3 has/have+V3 will/shall+have+V3
Passive: had+(been)+V3 has/have+(been)+V3 will/shall+have+(been)+V3
Perfect Continuous
Active: had+been+Ving has/have+been+Ving will/shall+have+been+Ving
Passive: had+been+(being)+V3 has/have+been+(being)+V3 will/shall+have+been+(being)+V3
จากรูปทั้งหมดจะเห็นว่าในเชิงปฏิบัติแล้ว รูป passive โดยเฉพาะกับกลุ่ม perfect คงไม่ค่อยได้พบเห็นกันสักเท่าไรนัก
เพราะในการเขียนไม่นิยมใช้รูป passive voice เนื่องด้วยจะทำให้ประโยคดูสับสน อีกทั้งรูปเชิงไวยกรณ์จะค่อนข้างยาว
เพราะการเขียนควรเขียนในเชิง
Action นั่นคือ ใคร --> ทำอะไร --> ต่อใคร/อะไร นั่นคือ S+V+O
ในกรณีที่จะเขียนเป็น passive จะใช้ในกรณีต้องการเน้นผู้กระทำและมีการขยายความต่อท้ายผู้กระทำนั่นคือ by... + คำขยาย
ไม่เช่นนั้นให้กลับเป็นประโยค active ให้หมดจะง่ายต่อความเข้าใจมากกว่า
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ Voice
1. การเปลี่ยนรูปจาก Verb เป็น adjในการเปลี่ยนรูป verb เป็น adj นั้นมี 2 วิธีคือ เติม ing --> ทำเป็น ving หรือ เติม ed --> ทำเป็น V3
ซึ่งในการเปลี่ยนรูปจำต้องเข้าใจถึงเรื่อง Active และ Passive ก่อน หรือเข้าใจในหลักตรรกะทั่วไป
ที่ดร.บุญชัยใช้บ่อย ๆ คือ
a broken chair --> เก้าอี้ตัวหนึ่งที่พัง
และ a running horse --> ม้าตัวหนึ่งที่วิ่งอยู่
โดยตรรกะคือ ม้า นั้นมีขา สามารถวิ่งได้เองดังนั้น กริยาที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนเป็น adj จึงต้องเป็น Ving
ในทำนองเดียวกัน เก้าอี้นั้นโดยทั่วไปแล้วจำต้องถูกทำให้พัง ไม่สามารถพังเองได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากไปเจอรูปแบบการใช้กลับกันจำต้องดูบริบทประกอบว่าเขาใช้ผิดหรือว่าจงใจสื่อตรงข้ามกับความรู้สึกของคนทั่วไป เช่น
a breaking chair อันนี้หากมีการใช้ก็จะต้องสื่อว่าเก้าอี้อันนี้พังด้วยตัวเองอาจจะเป็นทำนองเสื่อมสภาพด้วยกาลเวลา
หรือ a run hourse ก็จะต้องตีความว่าม้าถูกทำให้มีการวิ่งไม่ได้วิ่งเอง อาจจะเป็นม้าพิการที่มีเครื่องช่วยเดิน
จำต้องพิจารณาแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1) รูปแบบการใช้ tense ให้ถูกจังหวะและโอกาส หรือกาลเทศะ
2) รูปแบบของการกระทำนั่นคือ Voice ซึ่งจะมี 2 ส่วนคือ ไปกระทำเขา = active ถูกเขากระทำคือ passive
ซึ่งเรื่องของ voice อันนี้จะเกี่ยวโยงกับเรื่องหลาย ๆ อย่าง ทั้งรูปแบบของ compound adj
การเปลี่ยนรูปจาก verb เป็น adj (ดูเกร็ดย่อยเพิ่มเติม)
นิยามหรือหลักการ:Voice คือ การพิจารณารูปแบบการกระทำว่าเป็นสิ่งที่ถูกกระทำหรือไปกระทำเขา
เทคนิคการจำ:จำง่าย ๆ จากเรื่องสุนัข ว่าไปเตะหมา หรือถูกหมากัด ... เช่น
ผมไปเตะสุนัข --> อันนี้เป็น active
ถูกสุนัขกัด --> อันนี้เป็น passive
ประโยคง่าย ๆ เช่น
ผมไปเตะสุนัข ดังนี้ผมก็เลยถูกสุนัขกัด
ความรู้พื้นฐาน
ความรู้พื้นฐานคือ tense (ถ้ายังไม่เข้าใจให้กลับไปอ่านข้อ 1 tense)
และการสื่ออามรณ์ความเร็วของการถูกกระทำ
นั่นคือหลักตรรกะทั่วไป แบบไม่ซับซ้อนไม่ต้องคิดลึก ว่าใครถูกกระทำ และใครเป็นผู้กระทำ
รูปมีสองส่วนส่วนแรก คือรูปของ การกลับ Active เป็น Passive
และส่วนที่สองคือการ ผัน verb tense จาก active voice เป็น passive voice
1. รูปของการกลับจาก Active เป็น Passive ดังนี้Active: ---> S+V(active Verb)+O
Passive: ---> S(จาก Object ของ Active) + V(passive Verb) + by + O(จาก Subject ของ Active)
เช่น I kick the ball. ---> The ball is kicked by me.
ผมเตะลูกบอล ---> ลูกบอลถูกผมเตะ
2. Verb ในรูป Active Voice และ Passive Voice
อันนี้เหมือนสมการจะมีรูปแบบการผันเช่นเดียวกับของ tense คือ การนำ verb to be+V3 ต่อท้ายผนวกสมาธิ กับ รูป tense เดิม
เช่น present simple ---> ก็จะได้ รูป active = v1 , passive = is/am/are+V3 เป็นต้น
จาก tense ด้านบนเป็นรูป active จะเขียนเป็น ทั้งรูป active และ passive ได้ดังนี้
ทั้งนี้ตัวในวงเล็บคือตัว V.to be ที่มีการสมาธิกัน
Past Present Future
Simple
Active: V2 V1 will/shall+V1
Passive: (was/were)+V3 (is/am/are)+V3 will/shall+(be)+V3
Continuous
Active: was/were+Ving is/am/are+Ving will/shall+be+Ving
Passive: was/were+(being)+V3 is/am/are+(being)+V3 will/shall+be+(being)+V3
Perfect Simple
Active: had+V3 has/have+V3 will/shall+have+V3
Passive: had+(been)+V3 has/have+(been)+V3 will/shall+have+(been)+V3
Perfect Continuous
Active: had+been+Ving has/have+been+Ving will/shall+have+been+Ving
Passive: had+been+(being)+V3 has/have+been+(being)+V3 will/shall+have+been+(being)+V3
จากรูปทั้งหมดจะเห็นว่าในเชิงปฏิบัติแล้ว รูป passive โดยเฉพาะกับกลุ่ม perfect คงไม่ค่อยได้พบเห็นกันสักเท่าไรนัก
เพราะในการเขียนไม่นิยมใช้รูป passive voice เนื่องด้วยจะทำให้ประโยคดูสับสน อีกทั้งรูปเชิงไวยกรณ์จะค่อนข้างยาว
เพราะการเขียนควรเขียนในเชิง
Action นั่นคือ ใคร --> ทำอะไร --> ต่อใคร/อะไร นั่นคือ S+V+O
ในกรณีที่จะเขียนเป็น passive จะใช้ในกรณีต้องการเน้นผู้กระทำและมีการขยายความต่อท้ายผู้กระทำนั่นคือ by... + คำขยาย
ไม่เช่นนั้นให้กลับเป็นประโยค active ให้หมดจะง่ายต่อความเข้าใจมากกว่า
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ Voice
1. การเปลี่ยนรูปจาก Verb เป็น adjในการเปลี่ยนรูป verb เป็น adj นั้นมี 2 วิธีคือ เติม ing --> ทำเป็น ving หรือ เติม ed --> ทำเป็น V3
ซึ่งในการเปลี่ยนรูปจำต้องเข้าใจถึงเรื่อง Active และ Passive ก่อน หรือเข้าใจในหลักตรรกะทั่วไป
ที่ดร.บุญชัยใช้บ่อย ๆ คือ
a broken chair --> เก้าอี้ตัวหนึ่งที่พัง
และ a running horse --> ม้าตัวหนึ่งที่วิ่งอยู่
โดยตรรกะคือ ม้า นั้นมีขา สามารถวิ่งได้เองดังนั้น กริยาที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนเป็น adj จึงต้องเป็น Ving
ในทำนองเดียวกัน เก้าอี้นั้นโดยทั่วไปแล้วจำต้องถูกทำให้พัง ไม่สามารถพังเองได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากไปเจอรูปแบบการใช้กลับกันจำต้องดูบริบทประกอบว่าเขาใช้ผิดหรือว่าจงใจสื่อตรงข้ามกับความรู้สึกของคนทั่วไป เช่น
a breaking chair อันนี้หากมีการใช้ก็จะต้องสื่อว่าเก้าอี้อันนี้พังด้วยตัวเองอาจจะเป็นทำนองเสื่อมสภาพด้วยกาลเวลา
หรือ a run hourse ก็จะต้องตีความว่าม้าถูกทำให้มีการวิ่งไม่ได้วิ่งเอง อาจจะเป็นม้าพิการที่มีเครื่องช่วยเดิน