จิตวิทยา การลงทุนว่าด้วยเรื่องของกำไรคาดหวัง และการทำลายอคติของความต้องการที่จะ ถูกต้อง อยู่เสมอ Trading on Expectancy by Dr. Van K. Tharp (Part 1)
โดยทั่วไปแล้ว ในงานสัมนาการลงทุนทั่วๆไปนั้น วิทยากรที่ได้รับความสนใจมากที่สุดนั้น มักจะเป็นคนที่พูดเกี่ยวกับเรื่องของวิธีการลงทุน ที่ให้ผลของความแม่นยำในการเข้าซื้อมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณพูดว่า “จงซื้อเมื่อคุณมีความน่าจะเป็นสูงที่สุด” และยกตัวอย่างวิธีการซื้อ-ขายซึ่งให้ผลความแม่นยำถึง 75% ออกมา นั่นจะทำให้ผู้คนมากมายจับจ้องและหันมาที่คุณ
อย่างไรก็ตาม วิธีการเล่นหุ้นส่วนใหญ่ในรูปแบบนี้นั้น มักที่จะให้ผลการขาดทุนขนาดใหญ่ออกมาด้วยเช่นกัน หรือมันอาจไม่สามารถทำกำไรให้คุณในระยะยาวก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ด้วยความแม่นยำถึง 75% นั้น มันก็สามารถที่จะทำให้นักเล่นหุ้นมากมายต้องการที่จะใช้มันเป็นอย่างมาก
ผลความแม่นยำของระบบการลงทุนนั้น มีความสำคัญมากแค่ไหนน่ะหรือ?
สมมุติว่าผมพูดกับคุณว่า ผมสามารถรับประกันได้ว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างมากมายเมื่อถึงปลายปีนี้ มันจะเป็นกำไรก้อนโตเลยทีเดียว แต่คุณอาจจะต้องเสียเงินอยู่หลายครั้ง หรือเกิดความผิดพลาดขึ้นประมาณ 90% ของการซื้อ-ขายของคุณทั้งหมด คุณจะสนใจมันไหมครับ? คุณจะทนรับมันได้ไหม? หรือคุณจะตกลงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างการลงทุนได้ไหม?
แน่นอนว่าพวกเขามักจะตอบทันทีว่า “ไม่” ในคำถามที่ผมได้ถามไปทั้งหมด และนั่นมักจะเป็นคำตอบของนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่เลยทีเดียว และหากว่านี่เป็นคำตอบในใจของคุณด้วยล่ะก็ คุณ อาจกำลังปฏิเสธโอกาสในการทำกำไรของคุณไป เพียงเพราะแค่ ความต้องการที่จะ “ถูกต้อง” ของคุณนั้น อาจสำคัญมากกว่าความต้องการที่จะทำกำไรของคุณก็เป็นได้
อาจมีบางคนที่อยากถามว่า “คุณจะทำกำไรได้อย่างไร หากว่าคุณเกิดความผิดพลาด (ขาดทุน) ขึ้นถึง 90% ในการเข้าซื้อ?” คำตอบของสิ่งนี้นั้น จริงๆแล้วก็คือการวนกลับไปที่กฏทองของการเล่นหุ้น นั่นก็คือ “ตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป” นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจขาดทุนครั้งละ 100 ดอลลาร์ ถึง 9 ครั้ง และคุณสามารถทำกำไรได้เพียงครั้งเดียว แต่มันกลับให้ผลกำไรออกมาที่ 2,000 ดอลลาร์ เมื่อคุณนำมาหักลบกันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณจะมีกำไรสุทธิเหลืออยู่ประมาณ 1,100 ดอลลาร์ และนี่คือกำไรก้อนใหญ่เลยทีเดียว และมันคือสิ่งที่ได้มาจากกำไรเพียงครั้งเดียว จากการซื้อ-ขายทั้งหมด 10 ครั้งของคุณนั่นเอง สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ถึงแม้ว่าระบบการลงทุนที่ดีส่วนใหญ่นั้น อาจไม่เกิดการขาดทุนถึง 90% แต่พวกมันก็มักที่จะทำกำไรให้คุณเพียงแค่ 30-40% จากการซื้อ-ขายทั้งหมด
ผมคาดเดาว่า 99% ของนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนส่วนใหญ่นั้น ไม่สามารถที่จะใช้ระบบการลงทุนซึ่งก่อให้เกิดความผิดพลาด (ขาดทุน) ขึ้นถึง 90% ได้ ไม่ว่ามันจะสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดีแค่ไหนก็ตาม เหตุผลก็เนื่องมาจากว่า พวกมันไม่สามารถที่จะให้ความแม่นยำหรือความถูกต้องได้เพียงพอ และพวกมันมักที่จะก่อให้เกิดการขาดทุนต่อเนื่อง (Losing Streak) ที่ยาวนานเกินไป โดยระบบการลงทุนเหล่านี้ มักที่จะเกิดการขาดทุนติดๆกันมากกว่า 5 ครั้งเป็นส่วนใหญ่ และนี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจที่จะทนรับมันได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเกิดขาดทุนติดๆกันขึ้นมานั้น นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ก็มักที่จะล้มเลิกความคิดในการที่จะใช้ระบบการลงทุนเหล่านี้อีกต่อไป (ระบบการลงทุนแบบนี้ มักที่จะเกิดการขาดทุนติดๆกันถึง 25 ครั้งได้อย่างง่ายดาย) เพราะเมื่อเกิดการขาดทุนติดๆกันขึ้นมาอย่างนี้นั้น นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ก็มักที่จะคิดไปว่า ระบบการลงทุนของพวกเขาใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และพวกเขาก็จะพยายามทดลองสิ่งใหม่ๆแทน
ในทางตรงกันข้าม เราลองมาดูผลที่มักจะเกิดขึ้นกัน… สมมุติว่าระบบการลงทุนนั้นมีความแม่นยำสูงถึง 90% และคุณได้ทำการซื้อ-ขายทั้งหมด 100 ครั้ง โดยที่คุณจะได้กำไรโดยเฉลี่ยที่ 100 ดอลลาร์/ครั้ง และมีการขาดทุนโดยเฉลี่ย 2,000 ดอลลาร์/ครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึง 90 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นเงินทั้งหมด 9,000 ดอลลาร์ โดยในขณะเดียวกันนั้น คุณก็เกิดการขาดทุนขึ้นมา 10 ครั้งเช่นเดียวกัน และนั่นจะทำให้คุณขาดทุนทั้งสิ้นเป็นเงิน 20,000 ดอลลาร์ เมื่อทำการหักลบกันแล้ว ผลก็คือคุณจะขาดทุนสุทธิที่ 11,000 นั่นเอง
คำถามก็คือ แล้วนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนส่วนใหญ่ มักที่จะใช้ระบบเหล่านี้ไหม? แน่นอน พวกเขามักที่จะชอบใช้มัน และหากว่าระบบการลงทุนเหล่านี้ให้สัญญาณที่ประมาณ 4-5 ครั้งต่อปี พวกเขาก็มักที่จะใช้มันเป็นเวลาหลายๆปีจนหมดตัวไปเอง ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะพวกมันสามารถตอบสนองความต้องการที่จะ “ถูกต้อง” กับพวกเขาได้นั่นเอง
คุณอาจเถียงว่า “แล้วมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องปล่อยให้เกิดการขาดทุนขนาดใหญ่ขึ้นมา จนเกิดการขาดทุนสุทธิขึ้นถึง 11,000 ดอลลาร์ หลังจากการซื้อ-ขายทั้งหมด 100 ครั้งด้วยล่ะ?” คำตอบนั้นง่ายมากๆ ก็เนื่องมาจากว่า พวกเขามักจะปล่อยให้การขาดทุนเล็กๆน้อย กลายเป็นการขาดทุนขนาดใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนมันเป็นการลงทุนระยะยาวในความคิดของพวกเขานั่นเอง โดยพวกเขามักที่จะพูดว่า “มันก็แค่การขาดทุนในกระดาษ ไม่ได้ขาดทุนจริงๆสักหน่อย!!” นั่นเอง
ผมมีบางอย่างจะเล่าให้คุณฟัง ผมเคยเจอนักเล่นหุ้นหลายๆราย ซึ่งได้เข้าร่วมอบรมสัมนาการลงทุนของผม ซึ่งตัวของพวกเขาเองนั้น ถือเป็นคนที่มีความสามารถที่เหนือกว่านักลงทุนส่วนใหญ่เลยทีเดียว เมื่อคิดในแง่ของความชำนาญของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อผมขอให้พวกเขายกมือขึ้น หากว่าพวกเขากำลังถือหุ้นหรือตราสารการลงทุนต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าน้อยกว่า 50% ของราคาที่พวกเขาซื้อมา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มีคนยกมือขึ้นถึง 11 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนผู้เข้าสัมนาเลยทีเดียว และจากการคาดคะเนของผมนั้น ก็ทำให้ผมพอที่จะรู้ได้ว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดนั้น ก็คงที่จะต้องมีคนที่กำลังจมอยู่กับการขาดทุนเป็นจำนวนมาก โดยหวังเพียงที่จะให้ราคาของมันกลับมาเป็นดังเดิมอย่างแน่นอน… ทำไม น่ะหรือ? ก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะยอมรับได้ว่า พวกเขาได้คิด “ผิด” ไป และพวกเขาก็กำลังเฝ้าหวัง และรอคอยให้การลงทุนเหล่านั้นไม่เกิดการขาดทุน เพียงเพื่อที่จะช่วยยืนยันว่าความคิดของพวกเขานั้น ได้กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง” นั่นเอง
แล้วอะไรล่ะ คือ “ต้นทุน” จากการถือการลงทุนที่ขาดทุนของคุณเอาไว้? อย่างแรกก็คือ คุณกำลังใช้เงินทุนของคุณซึ่งมีคุณค่าอย่างมากมาย ลงไปในสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดผลผลิตใดๆขึ้นมาเลย อย่างที่สองก็คือ คุณกำลังปิดกั้นโอกาสของคุณ จากการลงทุนที่ดีอย่างอื่นไปอย่างน่าเสียดาย
วันนี้จบเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลงตอนต่อไปให้อ่านกันต่อครับ ชอบไม่ชอบยังไงก็ Comment กันไว้ได้นะครับ ขอบคุณครับ
อย่างไรก็ตาม วิธีการเล่นหุ้นส่วนใหญ่ในรูปแบบนี้นั้น มักที่จะให้ผลการขาดทุนขนาดใหญ่ออกมาด้วยเช่นกัน หรือมันอาจไม่สามารถทำกำไรให้คุณในระยะยาวก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ด้วยความแม่นยำถึง 75% นั้น มันก็สามารถที่จะทำให้นักเล่นหุ้นมากมายต้องการที่จะใช้มันเป็นอย่างมาก
ผลความแม่นยำของระบบการลงทุนนั้น มีความสำคัญมากแค่ไหนน่ะหรือ?
สมมุติว่าผมพูดกับคุณว่า ผมสามารถรับประกันได้ว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างมากมายเมื่อถึงปลายปีนี้ มันจะเป็นกำไรก้อนโตเลยทีเดียว แต่คุณอาจจะต้องเสียเงินอยู่หลายครั้ง หรือเกิดความผิดพลาดขึ้นประมาณ 90% ของการซื้อ-ขายของคุณทั้งหมด คุณจะสนใจมันไหมครับ? คุณจะทนรับมันได้ไหม? หรือคุณจะตกลงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างการลงทุนได้ไหม?
แน่นอนว่าพวกเขามักจะตอบทันทีว่า “ไม่” ในคำถามที่ผมได้ถามไปทั้งหมด และนั่นมักจะเป็นคำตอบของนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่เลยทีเดียว และหากว่านี่เป็นคำตอบในใจของคุณด้วยล่ะก็ คุณ อาจกำลังปฏิเสธโอกาสในการทำกำไรของคุณไป เพียงเพราะแค่ ความต้องการที่จะ “ถูกต้อง” ของคุณนั้น อาจสำคัญมากกว่าความต้องการที่จะทำกำไรของคุณก็เป็นได้
อาจมีบางคนที่อยากถามว่า “คุณจะทำกำไรได้อย่างไร หากว่าคุณเกิดความผิดพลาด (ขาดทุน) ขึ้นถึง 90% ในการเข้าซื้อ?” คำตอบของสิ่งนี้นั้น จริงๆแล้วก็คือการวนกลับไปที่กฏทองของการเล่นหุ้น นั่นก็คือ “ตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป” นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจขาดทุนครั้งละ 100 ดอลลาร์ ถึง 9 ครั้ง และคุณสามารถทำกำไรได้เพียงครั้งเดียว แต่มันกลับให้ผลกำไรออกมาที่ 2,000 ดอลลาร์ เมื่อคุณนำมาหักลบกันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณจะมีกำไรสุทธิเหลืออยู่ประมาณ 1,100 ดอลลาร์ และนี่คือกำไรก้อนใหญ่เลยทีเดียว และมันคือสิ่งที่ได้มาจากกำไรเพียงครั้งเดียว จากการซื้อ-ขายทั้งหมด 10 ครั้งของคุณนั่นเอง สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ถึงแม้ว่าระบบการลงทุนที่ดีส่วนใหญ่นั้น อาจไม่เกิดการขาดทุนถึง 90% แต่พวกมันก็มักที่จะทำกำไรให้คุณเพียงแค่ 30-40% จากการซื้อ-ขายทั้งหมด
ผมคาดเดาว่า 99% ของนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนส่วนใหญ่นั้น ไม่สามารถที่จะใช้ระบบการลงทุนซึ่งก่อให้เกิดความผิดพลาด (ขาดทุน) ขึ้นถึง 90% ได้ ไม่ว่ามันจะสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดีแค่ไหนก็ตาม เหตุผลก็เนื่องมาจากว่า พวกมันไม่สามารถที่จะให้ความแม่นยำหรือความถูกต้องได้เพียงพอ และพวกมันมักที่จะก่อให้เกิดการขาดทุนต่อเนื่อง (Losing Streak) ที่ยาวนานเกินไป โดยระบบการลงทุนเหล่านี้ มักที่จะเกิดการขาดทุนติดๆกันมากกว่า 5 ครั้งเป็นส่วนใหญ่ และนี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจที่จะทนรับมันได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเกิดขาดทุนติดๆกันขึ้นมานั้น นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ก็มักที่จะล้มเลิกความคิดในการที่จะใช้ระบบการลงทุนเหล่านี้อีกต่อไป (ระบบการลงทุนแบบนี้ มักที่จะเกิดการขาดทุนติดๆกันถึง 25 ครั้งได้อย่างง่ายดาย) เพราะเมื่อเกิดการขาดทุนติดๆกันขึ้นมาอย่างนี้นั้น นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ก็มักที่จะคิดไปว่า ระบบการลงทุนของพวกเขาใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และพวกเขาก็จะพยายามทดลองสิ่งใหม่ๆแทน
ในทางตรงกันข้าม เราลองมาดูผลที่มักจะเกิดขึ้นกัน… สมมุติว่าระบบการลงทุนนั้นมีความแม่นยำสูงถึง 90% และคุณได้ทำการซื้อ-ขายทั้งหมด 100 ครั้ง โดยที่คุณจะได้กำไรโดยเฉลี่ยที่ 100 ดอลลาร์/ครั้ง และมีการขาดทุนโดยเฉลี่ย 2,000 ดอลลาร์/ครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึง 90 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นเงินทั้งหมด 9,000 ดอลลาร์ โดยในขณะเดียวกันนั้น คุณก็เกิดการขาดทุนขึ้นมา 10 ครั้งเช่นเดียวกัน และนั่นจะทำให้คุณขาดทุนทั้งสิ้นเป็นเงิน 20,000 ดอลลาร์ เมื่อทำการหักลบกันแล้ว ผลก็คือคุณจะขาดทุนสุทธิที่ 11,000 นั่นเอง
คำถามก็คือ แล้วนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนส่วนใหญ่ มักที่จะใช้ระบบเหล่านี้ไหม? แน่นอน พวกเขามักที่จะชอบใช้มัน และหากว่าระบบการลงทุนเหล่านี้ให้สัญญาณที่ประมาณ 4-5 ครั้งต่อปี พวกเขาก็มักที่จะใช้มันเป็นเวลาหลายๆปีจนหมดตัวไปเอง ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะพวกมันสามารถตอบสนองความต้องการที่จะ “ถูกต้อง” กับพวกเขาได้นั่นเอง
คุณอาจเถียงว่า “แล้วมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องปล่อยให้เกิดการขาดทุนขนาดใหญ่ขึ้นมา จนเกิดการขาดทุนสุทธิขึ้นถึง 11,000 ดอลลาร์ หลังจากการซื้อ-ขายทั้งหมด 100 ครั้งด้วยล่ะ?” คำตอบนั้นง่ายมากๆ ก็เนื่องมาจากว่า พวกเขามักจะปล่อยให้การขาดทุนเล็กๆน้อย กลายเป็นการขาดทุนขนาดใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนมันเป็นการลงทุนระยะยาวในความคิดของพวกเขานั่นเอง โดยพวกเขามักที่จะพูดว่า “มันก็แค่การขาดทุนในกระดาษ ไม่ได้ขาดทุนจริงๆสักหน่อย!!” นั่นเอง
ผมมีบางอย่างจะเล่าให้คุณฟัง ผมเคยเจอนักเล่นหุ้นหลายๆราย ซึ่งได้เข้าร่วมอบรมสัมนาการลงทุนของผม ซึ่งตัวของพวกเขาเองนั้น ถือเป็นคนที่มีความสามารถที่เหนือกว่านักลงทุนส่วนใหญ่เลยทีเดียว เมื่อคิดในแง่ของความชำนาญของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อผมขอให้พวกเขายกมือขึ้น หากว่าพวกเขากำลังถือหุ้นหรือตราสารการลงทุนต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าน้อยกว่า 50% ของราคาที่พวกเขาซื้อมา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มีคนยกมือขึ้นถึง 11 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนผู้เข้าสัมนาเลยทีเดียว และจากการคาดคะเนของผมนั้น ก็ทำให้ผมพอที่จะรู้ได้ว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดนั้น ก็คงที่จะต้องมีคนที่กำลังจมอยู่กับการขาดทุนเป็นจำนวนมาก โดยหวังเพียงที่จะให้ราคาของมันกลับมาเป็นดังเดิมอย่างแน่นอน… ทำไม น่ะหรือ? ก็เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะยอมรับได้ว่า พวกเขาได้คิด “ผิด” ไป และพวกเขาก็กำลังเฝ้าหวัง และรอคอยให้การลงทุนเหล่านั้นไม่เกิดการขาดทุน เพียงเพื่อที่จะช่วยยืนยันว่าความคิดของพวกเขานั้น ได้กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง” นั่นเอง
แล้วอะไรล่ะ คือ “ต้นทุน” จากการถือการลงทุนที่ขาดทุนของคุณเอาไว้? อย่างแรกก็คือ คุณกำลังใช้เงินทุนของคุณซึ่งมีคุณค่าอย่างมากมาย ลงไปในสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดผลผลิตใดๆขึ้นมาเลย อย่างที่สองก็คือ คุณกำลังปิดกั้นโอกาสของคุณ จากการลงทุนที่ดีอย่างอื่นไปอย่างน่าเสียดาย
วันนี้จบเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลงตอนต่อไปให้อ่านกันต่อครับ ชอบไม่ชอบยังไงก็ Comment กันไว้ได้นะครับ ขอบคุณครับ