บทสัมภาษณ์พิเศษ Mark Douglas ทัศนคติแห่งการเก็งกำไร (ตอนที่ 2)
………………………………………………………………………………………………………………………………………….
วันนี้ผมขอลงบทสัมภาษณ์พิเศษจาก Mark Douglas ต่อเป็นตอนที่ 2 หลังจาก ในตอนที่ 1 นั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องของความกลัว ที่เป็นสิ่งที่คอยขัดขวางการตอบสนองที่ถูกต้องในการเก็งกำไร หรือลงทุนไปแล้ว วันนี้เขาจะพูดถึงเรื่องของวิธีการขจัดมันออกไป และสร้างทัศนคติใหม่ๆขึ้นมา เพื่อให้เกิดสภาวะจิตใจที่เหมาะสมกับการเก็งกำไร หรือลงทุนขึ้นมาครับ
Q: ช่วยยกตัวอย่างวิธีการที่จะขจัดความรู้สึกทางลบออกไปจากจิตใจ ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?
A: ยกตัวอย่างเช่น วิธีการที่จะทำให้เราสามารถยอมรับการสูญเสีย หรือขาดทุนได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดก็คือ การระบายความเสียใจออกมา เช่นการร้องให้นั้น คือวิธีการทางธรรมชาติ ที่เราจะทำให้เราสามารถยอมรับความผิดหวัง และปรับสภาพจิตใจของเรา จากสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้ข้างใน กับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น ในความเป็นจริงรอบตัวเราครับ
Q: เชิญพูดต่อเลยครับ
A: ดังนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ความคาดหวังของคนเรานั้น เป็นสิ่งที่เราได้สร้างมันขึ้นมา จากความต้องการให้อนาคตที่จะเกิดขึ้นข้างหน้านั้นเป็นอย่างไร, รสชาติอย่างไร, เป็นเสียงแบบไหน, หรือมีกลิ่นอย่างไร โดยหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่เราได้ คิดเอาไว้ เราก็จะเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้น แต่หากมันไม่เป็นเช่นนั้น แม้แค่เพียงส่วนหนึ่งส่วนใด เราก็จะเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจขึ้นมา ถูกไหมครับ?
Q: แน่นอนครับ
A: ผมขอยกตัวอย่าง จากกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยในการปรับสภาพจิตใจของเรา จากสิ่งที่เราคาดหวัง กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงกันข้าม นั่นก็คือการระบายความเสียใจออกมา หรือ การร้องให้นั่นเอง โดย ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับคนเราก็คือ พวกเรานั้นเติบโตมาภายใต้สังคม หรือวัฒนธรรมที่ถูกสอนว่าอย่าร้องให้ ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ พวกเรามักจบลงด้วยการที่ไม่ได้ทำการปรับสภาพจิตใจ จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้มันยังฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา อีกทั้งคนเราส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักวิธีการจัดการกับมันอย่างถูกวิธีด้วยครับ
Q: แล้วสำหรับนักเก็งกำไรล่ะครับ?
A: สำหรับนักเก็งกำไรนั้น พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ ซึ่งเราต้องเผชิญหน้ากับความเป็นไปได้ว่า การซื้อ-ขายครั้งต่อไปอาจเกิดการขาดทุนขึ้นมา แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน เพราะหากเรายอมรับมัน มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวด ที่ยังคงฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา ในทุกๆครั้งที่เราได้สูญเสียบางสิ่งไปครับ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสำหรับนักเก็งกำไรส่วนใหญ่แล้ว การลงทุนแต่ละครั้งจึงไม่ได้มีความหมายเพียงแค่นั้น นัก เก็งกำไร และนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญ และความหมายกับการลงทุนแต่ละครั้งมากเกินไป จึงทำให้เป็นการยากที่พวกเขาจะสามารถตัดขาดทุนออกมา และยอมรับว่าพวกเขาได้ผิดพลาดไป ผลก็คือ พวกเขาพยายามหนีความจริงนั่นเอง! และจากการที่เราพยายามหนีมัน นั่นทำให้ทุกๆอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปครับ
Q: แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ..
A: สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็คือ พวกเขาก็จะมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วพูดว่า “ทั้งๆที่ผมรู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่ เนื่องจากกราฟได้บอกกับผมว่า ตลาดมีโอกาสที่จะวิ่งสวนทางลงมา แต่ทำไมผมกลับไม่ได้ทำอะไรเลย!” ทำไมน่ะหรือ? นั่นก็เพราะว่า คุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณเริ่มรู้สึกไม่เชื่อมั่นในตัวของคุณเอง และทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจต่อไปเรื่อยๆครับ
Q: แล้วไม่มีใครที่ฉุกคิดขึ้นมาได้เลยหรือครับ?
A: พวกเขาส่วนใหญ่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ครับ แต่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่มักปล่อยตัวปล่อยใจอยู่เสมอ โดยการหาเหตุผลต่างๆมาเพื่อแก้ตัว และยอมเสี่ยงตาย หรือรอให้ตลาดวิ่งกลับมาเพื่อตัดขาดทุน ซึ่งมันไม่ได้ผลครับ!
Q: ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เราจบลงด้วยการไม่มั่นใจในตนเองใช่ไหมครับ?
A: ถูกต้องครับ พวกเราจะจบลงด้วยการไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเราขาดความมั่นใจในตนเองไป และพวกเราก็มักจะจบลงด้วยการกลัวตัวของเราเองอีกด้วย และนี่เป็นปัญหาที่ใหญ่มากๆ นั่นก็คือ สิ่งที่เรากลัวนั้นไม่ใช่ตลาด.. แต่สิ่งที่เรากลัวคือตัวของเรา หรือพฤติกรรมของเราเองต่างหากครับ ซึ่งถึงแม้ว่านักเก็งกำไรส่วนใหญ่จะไม่ได้คิดถึงมัน แต่การขาดความเชื่อมั่นนี้เอง คือตัวการของปัญหา ที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจในการลงทุนครับ
Q: แล้วขั้นตอนในการแก้ไขปัญหานี้คืออะไรล่ะครับ?
A: คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณ โดยการเปลี่ยนมุมมอง และให้ความหมายกับคำว่าขาดทุนเสียใหม่ ว่าการขาดทุนจริงๆแล้ว มันหมายความว่าอะไรนั่นเอง และจริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญก็คือ คุณ จะต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณหลายๆอย่าง ที่เป็นตัวการทำให้คุณตีความ หรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดในทางลบ หรือด้วยความรู้สึกเจ็บปวดครับ
คุณจะต้องสร้างความเชื่อ และทัศนคติชุดใหม่ขึ้นมา ที่จะทำให้คุณสามารถตีความ หรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดได้อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือไร้ความกังวลต่างๆ รวมถึงความเชื่อชุดใหม่ ที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มความสามารถของคุณครับ
คุณควรต้องไปจนถึงจุดที่คุณสามารถ เก็งกำไรได้อย่างไม่มีความลังเลใจ ซึ่งมันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนักกีฬาชั้นยอดอย่างมากครับ
Q: เราเคยได้คุยกันถึงเรื่องของระบบความเชื่อกันแล้ว ผมอยากถามว่าอะไรคือข้อแตกต่างระหว่างระบบความเชื่อ และระบบการลงทุนครับ?
A: สิ่งที่ระบบการลงทุน สามารถให้คุณได้ก็คือความได้เปรียบครับ พูดอีกอย่างก็คือ คุณใช้มันเพื่อนำทางในการระบุหาโอกาส จากรูปแบบของกราฟที่เกิดขึ้นจากตลาดครับ ส่วน ระบบความเชื่อนั้นก็คือ สิ่งที่จะควบคุมมุมมองของคุณ เกี่ยวกับรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของตลาด รวมถึงควบคุมการตอบสนองของคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดด้วยครับ
Q: คำว่า พฤติกรรมของตลาด ของคุณนั้นหมายความว่าอย่างไรครับ?
A: ตลาดคือผลจากการกระทำของทุกๆคน ที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดนั้นๆในแต่ละช่วงเวลาครับ คนเราแต่ละคนนั้นย่อมจะมีรูปแบบพฤติกรรมของตนเอง และพวกเขามักจะทำสิ่งเดิมๆ ภายใต้สถานการณ์เดิมๆ และซ้ำๆอย่างนี้เรื่อยๆไป โดยที่กลุ่มของคนพวกต่างๆนั้น ก็มักจะแสดงรูปแบบพฤติกรรมเดิมๆออกมาอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน
โดยสิ่งที่ระบบการลงทุนหรือเก็งกำไร ที่อิงกับหลักการทาง Technical Analysis ให้ กับเราได้นั้น คือการช่วยระบุรูปแบบพฤติกรรมต่างๆออกมา และบอกถึงจำนวนสถิติของพวกมันออกมา ดังนั้นคุณจึงสามารถนำมันมาใช้ เพื่อหารูปแบบที่มีสถิติที่น่าเชื่อถือได้นั่นเองครับ
Q: และนั่นก็จะทำให้คุณมีความได้เปรียบใช่ไหม?
A: รูปสถิติที่มีความน่าเชื่อถือนี้ จะช่วยให้ความได้เปรียบกับคุณ มันคือความได้เปรียบจากความน่าจะเป็นที่ว่าสิ่งหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น มากกว่าอีกสิ่งหนึ่งครับ และนี่คือทั้งหมดของมันครับ นี่คือสิ่งที่ระบบจะสามารถให้กับคุณได้ครับ! แต่ พวกมันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป มันไม่สามารถรับประกันได้ว่าการลงทุนครั้งต่อไปของคุณจะถูกต้อง เนื่องจากทุกๆคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดแห่งนี้ คือตัวแปรของตลาดครับ ซึ่งไม่มีระบบ Technical ระบบไหนที่จะสามารถนำจิตใจของคนทุกคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาด เข้ามาทำการคำนวณได้ว่าพวกเขาจะเข้ามาลงทุน และจะเข้ามามีบทบาททำให้ รูปแบบพฤติกรรม หรือกราฟนี้เป็นจริงได้หรือไม่ครับ
Q: นั่นหมายความว่า?
A: นั่นก็หมายความว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอในตลาดครับ ซึ่ง นักเก็งกำไรบางคนอาจเข้าใจมันได้จากความรู้สึกลึกๆของพวกเขา แต่สิ่งที่เขาเชื่ออยู่ลึกๆนี้ มันไม่ได้อยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะทำให้เขา สามารถมองตลาดได้จากมุมมองที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสมในแต่ละครั้งครับ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาคงจะไม่เคยมีปัญหากับการที่จะคิดถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมา หรือไม่มีปัญหากับการตัดขาดทุนหรอกครับ
Q: นี่เป็นความคิดที่ลึกซึ้งมากทีเดียวครับ
A: ผมอยากให้คุณลองคิดดูให้ดีนะครับ หากว่าคุณเชื่อจริงๆว่า คน แต่ละคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดแห่งนี้ คือตัวแปรต่างๆของตลาด ซึ่งแต่ละคนมีโอกาสที่จะทำให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางเลยที่เราจะสามารถเข้าไปในจิตใจของคนทุกๆคนที่จะเข้ามามีส่วน ร่วมในการซื้อ-ขาย หรือลงทุนในตลาดได้! และในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว คุณจะรู้ได้อย่าง “แน่นอน” ได้อย่างไร ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในตลาด จริงไหมครับ?
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ อยากให้ลองอ่านดีๆ และค่อยๆอ่านหลายๆรอบ น่าจะช่วยได้มาก ซึ่งถ้าให้ผมสรุปความตอนนี้ เขาก็คงอยากจะบอกถึง การปรับจิตใจและเปลี่ยนมันให้เกิดเป็นสภาพจิตที่ว่าง โล่ง โปร่งสบาย จากการเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่สำคัญต่างๆ (อาจเรียกได้ว่าเป็นการคิด ภายใต้พื้นฐานความเชื่อแบบ Random Outcome ครับ) ซึ่งสำหรับผมแล้วคิดว่ามันได้ผลมากและดีจริงๆ เพราะจะทำให้เราหมดปัญหาเรื่องการตัดขาดทุนไม่ได้ หรือไม่กล้าซื้อไปได้เยอะทีเดียว แล้วเจอกันใหม่ที่ แมงเม่าคลับ.คอม นะครับ
วันนี้ผมขอลงบทสัมภาษณ์พิเศษจาก Mark Douglas ต่อเป็นตอนที่ 2 หลังจาก ในตอนที่ 1 นั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องของความกลัว ที่เป็นสิ่งที่คอยขัดขวางการตอบสนองที่ถูกต้องในการเก็งกำไร หรือลงทุนไปแล้ว วันนี้เขาจะพูดถึงเรื่องของวิธีการขจัดมันออกไป และสร้างทัศนคติใหม่ๆขึ้นมา เพื่อให้เกิดสภาวะจิตใจที่เหมาะสมกับการเก็งกำไร หรือลงทุนขึ้นมาครับ
Q: ช่วยยกตัวอย่างวิธีการที่จะขจัดความรู้สึกทางลบออกไปจากจิตใจ ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?
A: ยกตัวอย่างเช่น วิธีการที่จะทำให้เราสามารถยอมรับการสูญเสีย หรือขาดทุนได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดก็คือ การระบายความเสียใจออกมา เช่นการร้องให้นั้น คือวิธีการทางธรรมชาติ ที่เราจะทำให้เราสามารถยอมรับความผิดหวัง และปรับสภาพจิตใจของเรา จากสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้ข้างใน กับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น ในความเป็นจริงรอบตัวเราครับ
Q: เชิญพูดต่อเลยครับ
A: ดังนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ความคาดหวังของคนเรานั้น เป็นสิ่งที่เราได้สร้างมันขึ้นมา จากความต้องการให้อนาคตที่จะเกิดขึ้นข้างหน้านั้นเป็นอย่างไร, รสชาติอย่างไร, เป็นเสียงแบบไหน, หรือมีกลิ่นอย่างไร โดยหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่เราได้ คิดเอาไว้ เราก็จะเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้น แต่หากมันไม่เป็นเช่นนั้น แม้แค่เพียงส่วนหนึ่งส่วนใด เราก็จะเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจขึ้นมา ถูกไหมครับ?
Q: แน่นอนครับ
A: ผมขอยกตัวอย่าง จากกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยในการปรับสภาพจิตใจของเรา จากสิ่งที่เราคาดหวัง กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงกันข้าม นั่นก็คือการระบายความเสียใจออกมา หรือ การร้องให้นั่นเอง โดย ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับคนเราก็คือ พวกเรานั้นเติบโตมาภายใต้สังคม หรือวัฒนธรรมที่ถูกสอนว่าอย่าร้องให้ ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ พวกเรามักจบลงด้วยการที่ไม่ได้ทำการปรับสภาพจิตใจ จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้มันยังฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา อีกทั้งคนเราส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักวิธีการจัดการกับมันอย่างถูกวิธีด้วยครับ
Q: แล้วสำหรับนักเก็งกำไรล่ะครับ?
A: สำหรับนักเก็งกำไรนั้น พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ ซึ่งเราต้องเผชิญหน้ากับความเป็นไปได้ว่า การซื้อ-ขายครั้งต่อไปอาจเกิดการขาดทุนขึ้นมา แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน เพราะหากเรายอมรับมัน มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวด ที่ยังคงฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา ในทุกๆครั้งที่เราได้สูญเสียบางสิ่งไปครับ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสำหรับนักเก็งกำไรส่วนใหญ่แล้ว การลงทุนแต่ละครั้งจึงไม่ได้มีความหมายเพียงแค่นั้น นัก เก็งกำไร และนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญ และความหมายกับการลงทุนแต่ละครั้งมากเกินไป จึงทำให้เป็นการยากที่พวกเขาจะสามารถตัดขาดทุนออกมา และยอมรับว่าพวกเขาได้ผิดพลาดไป ผลก็คือ พวกเขาพยายามหนีความจริงนั่นเอง! และจากการที่เราพยายามหนีมัน นั่นทำให้ทุกๆอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปครับ
Q: แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ..
A: สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็คือ พวกเขาก็จะมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วพูดว่า “ทั้งๆที่ผมรู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่ เนื่องจากกราฟได้บอกกับผมว่า ตลาดมีโอกาสที่จะวิ่งสวนทางลงมา แต่ทำไมผมกลับไม่ได้ทำอะไรเลย!” ทำไมน่ะหรือ? นั่นก็เพราะว่า คุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณเริ่มรู้สึกไม่เชื่อมั่นในตัวของคุณเอง และทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจต่อไปเรื่อยๆครับ
Q: แล้วไม่มีใครที่ฉุกคิดขึ้นมาได้เลยหรือครับ?
A: พวกเขาส่วนใหญ่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ครับ แต่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่มักปล่อยตัวปล่อยใจอยู่เสมอ โดยการหาเหตุผลต่างๆมาเพื่อแก้ตัว และยอมเสี่ยงตาย หรือรอให้ตลาดวิ่งกลับมาเพื่อตัดขาดทุน ซึ่งมันไม่ได้ผลครับ!
Q: ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เราจบลงด้วยการไม่มั่นใจในตนเองใช่ไหมครับ?
A: ถูกต้องครับ พวกเราจะจบลงด้วยการไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเราขาดความมั่นใจในตนเองไป และพวกเราก็มักจะจบลงด้วยการกลัวตัวของเราเองอีกด้วย และนี่เป็นปัญหาที่ใหญ่มากๆ นั่นก็คือ สิ่งที่เรากลัวนั้นไม่ใช่ตลาด.. แต่สิ่งที่เรากลัวคือตัวของเรา หรือพฤติกรรมของเราเองต่างหากครับ ซึ่งถึงแม้ว่านักเก็งกำไรส่วนใหญ่จะไม่ได้คิดถึงมัน แต่การขาดความเชื่อมั่นนี้เอง คือตัวการของปัญหา ที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจในการลงทุนครับ
Q: แล้วขั้นตอนในการแก้ไขปัญหานี้คืออะไรล่ะครับ?
A: คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณ โดยการเปลี่ยนมุมมอง และให้ความหมายกับคำว่าขาดทุนเสียใหม่ ว่าการขาดทุนจริงๆแล้ว มันหมายความว่าอะไรนั่นเอง และจริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญก็คือ คุณ จะต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณหลายๆอย่าง ที่เป็นตัวการทำให้คุณตีความ หรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดในทางลบ หรือด้วยความรู้สึกเจ็บปวดครับ
คุณจะต้องสร้างความเชื่อ และทัศนคติชุดใหม่ขึ้นมา ที่จะทำให้คุณสามารถตีความ หรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดได้อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือไร้ความกังวลต่างๆ รวมถึงความเชื่อชุดใหม่ ที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มความสามารถของคุณครับ
คุณควรต้องไปจนถึงจุดที่คุณสามารถ เก็งกำไรได้อย่างไม่มีความลังเลใจ ซึ่งมันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนักกีฬาชั้นยอดอย่างมากครับ
Q: เราเคยได้คุยกันถึงเรื่องของระบบความเชื่อกันแล้ว ผมอยากถามว่าอะไรคือข้อแตกต่างระหว่างระบบความเชื่อ และระบบการลงทุนครับ?
A: สิ่งที่ระบบการลงทุน สามารถให้คุณได้ก็คือความได้เปรียบครับ พูดอีกอย่างก็คือ คุณใช้มันเพื่อนำทางในการระบุหาโอกาส จากรูปแบบของกราฟที่เกิดขึ้นจากตลาดครับ ส่วน ระบบความเชื่อนั้นก็คือ สิ่งที่จะควบคุมมุมมองของคุณ เกี่ยวกับรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของตลาด รวมถึงควบคุมการตอบสนองของคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดด้วยครับ
Q: คำว่า พฤติกรรมของตลาด ของคุณนั้นหมายความว่าอย่างไรครับ?
A: ตลาดคือผลจากการกระทำของทุกๆคน ที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดนั้นๆในแต่ละช่วงเวลาครับ คนเราแต่ละคนนั้นย่อมจะมีรูปแบบพฤติกรรมของตนเอง และพวกเขามักจะทำสิ่งเดิมๆ ภายใต้สถานการณ์เดิมๆ และซ้ำๆอย่างนี้เรื่อยๆไป โดยที่กลุ่มของคนพวกต่างๆนั้น ก็มักจะแสดงรูปแบบพฤติกรรมเดิมๆออกมาอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน
โดยสิ่งที่ระบบการลงทุนหรือเก็งกำไร ที่อิงกับหลักการทาง Technical Analysis ให้ กับเราได้นั้น คือการช่วยระบุรูปแบบพฤติกรรมต่างๆออกมา และบอกถึงจำนวนสถิติของพวกมันออกมา ดังนั้นคุณจึงสามารถนำมันมาใช้ เพื่อหารูปแบบที่มีสถิติที่น่าเชื่อถือได้นั่นเองครับ
Q: และนั่นก็จะทำให้คุณมีความได้เปรียบใช่ไหม?
A: รูปสถิติที่มีความน่าเชื่อถือนี้ จะช่วยให้ความได้เปรียบกับคุณ มันคือความได้เปรียบจากความน่าจะเป็นที่ว่าสิ่งหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น มากกว่าอีกสิ่งหนึ่งครับ และนี่คือทั้งหมดของมันครับ นี่คือสิ่งที่ระบบจะสามารถให้กับคุณได้ครับ! แต่ พวกมันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป มันไม่สามารถรับประกันได้ว่าการลงทุนครั้งต่อไปของคุณจะถูกต้อง เนื่องจากทุกๆคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดแห่งนี้ คือตัวแปรของตลาดครับ ซึ่งไม่มีระบบ Technical ระบบไหนที่จะสามารถนำจิตใจของคนทุกคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาด เข้ามาทำการคำนวณได้ว่าพวกเขาจะเข้ามาลงทุน และจะเข้ามามีบทบาททำให้ รูปแบบพฤติกรรม หรือกราฟนี้เป็นจริงได้หรือไม่ครับ
Q: นั่นหมายความว่า?
A: นั่นก็หมายความว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอในตลาดครับ ซึ่ง นักเก็งกำไรบางคนอาจเข้าใจมันได้จากความรู้สึกลึกๆของพวกเขา แต่สิ่งที่เขาเชื่ออยู่ลึกๆนี้ มันไม่ได้อยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะทำให้เขา สามารถมองตลาดได้จากมุมมองที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสมในแต่ละครั้งครับ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาคงจะไม่เคยมีปัญหากับการที่จะคิดถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมา หรือไม่มีปัญหากับการตัดขาดทุนหรอกครับ
Q: นี่เป็นความคิดที่ลึกซึ้งมากทีเดียวครับ
A: ผมอยากให้คุณลองคิดดูให้ดีนะครับ หากว่าคุณเชื่อจริงๆว่า คน แต่ละคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดแห่งนี้ คือตัวแปรต่างๆของตลาด ซึ่งแต่ละคนมีโอกาสที่จะทำให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางเลยที่เราจะสามารถเข้าไปในจิตใจของคนทุกๆคนที่จะเข้ามามีส่วน ร่วมในการซื้อ-ขาย หรือลงทุนในตลาดได้! และในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว คุณจะรู้ได้อย่าง “แน่นอน” ได้อย่างไร ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในตลาด จริงไหมครับ?
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ อยากให้ลองอ่านดีๆ และค่อยๆอ่านหลายๆรอบ น่าจะช่วยได้มาก ซึ่งถ้าให้ผมสรุปความตอนนี้ เขาก็คงอยากจะบอกถึง การปรับจิตใจและเปลี่ยนมันให้เกิดเป็นสภาพจิตที่ว่าง โล่ง โปร่งสบาย จากการเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่สำคัญต่างๆ (อาจเรียกได้ว่าเป็นการคิด ภายใต้พื้นฐานความเชื่อแบบ Random Outcome ครับ) ซึ่งสำหรับผมแล้วคิดว่ามันได้ผลมากและดีจริงๆ เพราะจะทำให้เราหมดปัญหาเรื่องการตัดขาดทุนไม่ได้ หรือไม่กล้าซื้อไปได้เยอะทีเดียว แล้วเจอกันใหม่ที่ แมงเม่าคลับ.คอม นะครับ