โลกในมุมมองของนักเล่นหุ้นตามแนวโนวโน้ม Inside the Counterintuitive World of Trend Follower by Charles Faulkner (Part 1)
วันนี้ผมนำบทความจาก Charles Faulkner ยอดนักเก็งกำไรและผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาศักยภาพในรูปแบบ NLP อันดับต้นๆของโลกมาให้อ่านครับ เขาเคยถูกสัมภาษณ์ไว้ในหนังสือหลายๆเล่มรวมถึง The Market Wizrard และ The Intuitive Trader ที่ผมเคยได้นำมารีวิวให้อ่านเอาไว้แล้ว นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เขียนร่วมในหนังสือจิตวิทยาการพัฒนาตนเองด้วยวิธีการ NLP ที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่ง (อันดับ 1 ในอเมซอนชื่อ NLP The New Technology of Achievement) ซึ่งเขาได้นำเอาวิธีการเหล่านี้มาช่วยในการพัฒนาศักย์ภาพของนักเก็งกำไรไว้ได้อีกด้วยครับ
ปรัชญาการเก็งกำไรแบบ “กระทำไปตามแนวโน้ม หรือ Trend Following” นั้น สามารถที่จะสรุปออกมาหลักๆได้ 7 ข้อ โดยเราจะค่อยๆพูดถึงไป ในแต่ละข้อคิดนั้นๆในบทความนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย
เมื่อพูดถึงประโยคที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือ “ตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ” แน่นอนว่า นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ย่อมที่จะเห็นพ้องกันว่า นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสิ่งหนึ่งที่จะทำได้เลยทีเดียว ทำไมน่ะหรือ? นั่นก็เพราะ “เมื่อมีลูกไก่อยู่ในกำมือ เราย่อมคิดว่ามันดีกว่าที่จะปล่อยมันเอาไว้ก่อน” นั่นเอง และแน่นอนว่าเหล่า Trend Followers ย่อมเข้าใจมันดีเช่นกัน แต่พวกเขาก็เข้าใจเป็นอย่างดีเช่นกันว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงความรู้สึกหรือประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งจะสร้างอคติในการตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผลของเราลงไป พวกเขารู้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถเชื่อถือได้เมื่อนำมาใช้กับการเก็ง กำไรในตลาดหุ้นนั่นเอง
ไม่มีใครหยั่งรู้อนาคตได้!
“เราจะไม่มีการพยายามพยากรณ์อะไรทั้งสิ้น!” นี่คือคำพูดของสุดยอด Trend Follower ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกคนหนึ่ง นั่นก็คือ John W. Henry (ผู้ที่กำลังพยายาม Take over สโมสรฟุตบอล Liverpool อยู่นั่นเอง วันหลังผมจะนำแนวคิดการเล่นหุ้นเก็งกำไรของเขามาให้อ่านกันต่อไปนะครับ
) โดยที่ Henry ได้บอกกับพวกเราไว้ว่า ความหมายของมันก็คือ สิ่ง ต่างๆไม่ว่าจะเป็นลางสังหรณ์ของคุณ, สัญชาติญาณของคุณ หรือความเชื่อของคุณเกี่ยวกับโลกใบนี้นั้น แท้จริงแล้วก็คือมายาจิตของคุณเอง แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆที่เราได้ยินจากผู้ชำนาญการหรือเซียนหุ้นต่างๆในทีวีหรือที่ไหนๆก็ เป็นเพียงแค่อคติของพวกเขา หุ้นไม่ได้วิ่งไปมาเพราะเหตุผลอย่างเดียว, ทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อใครบางคน, อัตราดอกเบี้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพียงเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผลกระทบจากสิ่งต่างๆที่ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปนั้น ไม่มีอยู่จริง เพียงแต่ว่ามันมีเหตุผลหลายๆอย่างจนมากเกินไปต่างหาก และ การที่เราจะพยายามจะวัดผลกระทบของมันทั้งหมดออกมาได้อย่างแน่นอนนั้น เป็นเรื่องที่เกินกว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นสำหรับพวกเราทุกๆคน
Bill Dunn สุดยอด Trend Follower อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของกองทุน Dunn Capital เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ ถึงแม้ว่าตัวของเขาเองนั้น จะจบการศึกษาถึงระดับปริญญาเอกในสาขา Theoretical Physic ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครที่สามารถได้รับปริญญาเอกในสาขานี้ได้ โดยที่ไม่เข้าใจถึงสมการ “สามตัวแปร” (Three body problem) จนลึกซึ้งได้อย่างแน่นอน
เมื่อเรามองย้อนกลับไปในยุคโบราณนั้น Sir Isaac Newton ผู้เป็นบิดาและผู้ค้นพบแนวทางในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีตัวแปรอยู่ 2 ตัวแปร (ปัญหา 2 วัตถุ) เช่น โลกและดวงจันทร์ โดยวิธีการแก้ปัญหาของนิวตันก็คือ เขาได้ตัดเอาตัวแปรอื่นๆรอบๆออกไปก่อน เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทางคณิตศาสตร์ชิ้นนี้ออกมาได้ และเมื่อสิ่งต่างๆเริ่มสำเร็จผล เขาจึงได้ตั้งสมมุติฐานของเขาต่อมาว่า สูตรหรือแนวทางในการแก้ปัญที่มีตัวแปรอยู่ 2 ตัวของเขานั้น จะสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีตัวแปรมากกว่า 3 ตัว โดยที่ตัวแปรแต่ละตัวจะทำปฎิกริยาตอบสนองต่อกันไปมาออกมาได้ (ปัญหา 3 วัตถุหรือมากกว่า)
อย่างไรก็ตาม ในอีก 200 ปีต่อมา ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถแก้โจทย์นี้ออกมาได้ และเพื่อให้เรื่องนี้เร็วขึ้น ผมจะขอข้ามมาถึงในขณะที่ อองรี ปวงกาเร (Henri Poincare) สุดยอดนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศษ ได้รับรางวัลจากพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สวีเดน ในปี 1889 แต่ไม่ใช่รางวัลในการที่เขาสามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์นี้ออกมาได้ ในทางกลับกันแล้ว เขาได้รับรางวัลเนื่องจากเขาสามารถพิสูจน์ออกมาได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ออกมาต่างหาก
ศาสตราจารย์ปวงกาเร ได้ค้นพบว่า เพียงแค่ปัญหาที่มีตัวแปรหรือวัตถุแค่ 3 ตัวนั้น ผลกระทบไปมาจากตัวแปรแต่ละตัวที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เราไม่สามารถที่จะสามารถคำนวณได้อย่าง “แน่นอน” ว่า ผลกระทบจากการตอบสนองไปมาของตัวแปรแต่ละตัวต่อจะก่อให้เกิดสิ่งไดหรือเกิด ขึ้นในรูปแบบใด และอะไรจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น, พันธบัตร และอนุพันธ์ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน และถึงแม้ว่าการคาดคะเนโดย “ประมาณ” นั้นจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นมักจะตรงข้ามกับสัญชาติญาณหรือความเชื่อของคนเราโดย ทั่วไป นั่นก็คือ ยิ่ง เรา (Market Participant) พยายามที่จะสร้าง Model ที่มีความแม่นยำมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจะทำให้ Model เหล่านี้ไม่สามารถตอบได้ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตยิ่งขึ้นเท่านั้น
ข้อสรุปในเรื่องนี้นั้นง่ายๆมากๆ นั่นก็คือ โลกของเรานั้นมันช่างยิ่งใหญ่ และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายมากกว่าที่ Model ที่ละเอียดและซับซ้อนที่สุดของเราจะเก็บรายละเอียดเอาไว้ได้ทั้งหมด อีกทั้ง Model ที่มีความซับซ้อน (มีการวัดหรือใช้ตัวแปรมากกว่า 3 ตัวขึ้นไป) นั้น มักที่จะพังทลายลงให้เราพยายามใช้มันที่จะพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ออกมานั่นเอง ผลก็คือ สิ่งเหล่านี้ทำให้บรรดาเหล่า Trend Follower จึงเพ่งความสนใจไปที่รายละเอียดของสิ่งที่ “กำลัง” เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ว่ามันกำลังเกิดขึ้น “อย่างไร” แทนที่จะพยายามพยากรณ์ไปในอนาคต หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกของ “ปัจจุบัน” นั่นเอง
สำหรับตอนนี้ก็จบเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาต่อให้ในวันต่อไป รับรองว่านี่เป็นบทความที่ดีมากๆอีกบทความหนึ่งเช่นกัน อ่านแล้วชอบไม่ชอบช่วยบอกกันหน่อยนะครับ จะได้พอรู้ว่าเป็นอย่างไร หรืออย่างน้อยถือเป็นกำลังใจให้ผมแล้วกัน แล้วเจอกันใหม่ครับ
“มันไม่เกี่ยวว่าคุณคิดอย่างไร มันเกี่ยวกับว่าคุณกำลังเห็นว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นต่างหาก” Charles FaulknerMichael Covel ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Trend Following ของเขาเอาไว้ว่า บรรดาสุดยอดนักเล่นหุ้นตามแนวโน้ม (Trend Follower) นั้น มักที่จะมีมุมมองที่เป็นปรัชญาเบื้องหลังแนวทางการเก็งกำไรของพวกเขาเอง โดยการที่คนส่วนใหญ่มักที่จะมองข้ามมันไปนั้น ก็เนื่องมาจากว่ามันอาจไม่ใช่สิ่งที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆสักเท่าไหร่ และเมื่อไหร่ที่บรรดานักเก็งกำไรแบบ Trend Follower พูดว่าพวกเขามีแนวคิดหรือปรัชญาของพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขากำลังบอกเราก็คือ เขากำลังพูดถึงมุมมองที่พวกเขามีต่อโลกหรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวนั่น เอง และมันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหนังสือการลงทุนโดยทั่วไปสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาได้รับมันมาจากการสังเกตุและประสบการณ์ตรงของพวกเขา
ปรัชญาการเก็งกำไรแบบ “กระทำไปตามแนวโน้ม หรือ Trend Following” นั้น สามารถที่จะสรุปออกมาหลักๆได้ 7 ข้อ โดยเราจะค่อยๆพูดถึงไป ในแต่ละข้อคิดนั้นๆในบทความนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย
- ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตได้
- หากว่าเราสามารถที่จะตัดคำว่า “มันจะ”, “อาจจะ” และ “น่าจะ” ออกไปจากชีวิตของเราได้ แล้วมองโลกถึงสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นด้วยความเป็นจริง คุณจะมีความได้เปรียบเหนือคนอีกหลายๆคนเลยทีเดียว
- สิ่งต่างๆนั้นสามารถที่จะทำการเทียบวัดได้ ดังนั้น จงพยายามพัฒนาการวัดผลของคุณอยู่ตลอดเวลา
- คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่า “เมื่อไหร่” ที่สิ่งต่างๆจะต้องเกิดขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
- ราคาสามารถเคลื่อนไหวขึ้น, ลง หรือค่อยๆเคลื่อนไปด้านข้างได้เท่านั้น
- การขาดทุนหรือสูญเสีย เป็นองค์ประกอบหรือส่วนหนึ่งของชีวิต
- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ปัจจุบัน”
เมื่อพูดถึงประโยคที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือ “ตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ” แน่นอนว่า นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ย่อมที่จะเห็นพ้องกันว่า นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสิ่งหนึ่งที่จะทำได้เลยทีเดียว ทำไมน่ะหรือ? นั่นก็เพราะ “เมื่อมีลูกไก่อยู่ในกำมือ เราย่อมคิดว่ามันดีกว่าที่จะปล่อยมันเอาไว้ก่อน” นั่นเอง และแน่นอนว่าเหล่า Trend Followers ย่อมเข้าใจมันดีเช่นกัน แต่พวกเขาก็เข้าใจเป็นอย่างดีเช่นกันว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงความรู้สึกหรือประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งจะสร้างอคติในการตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผลของเราลงไป พวกเขารู้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถเชื่อถือได้เมื่อนำมาใช้กับการเก็ง กำไรในตลาดหุ้นนั่นเอง
ไม่มีใครหยั่งรู้อนาคตได้!


Bill Dunn สุดยอด Trend Follower อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของกองทุน Dunn Capital เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ ถึงแม้ว่าตัวของเขาเองนั้น จะจบการศึกษาถึงระดับปริญญาเอกในสาขา Theoretical Physic ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครที่สามารถได้รับปริญญาเอกในสาขานี้ได้ โดยที่ไม่เข้าใจถึงสมการ “สามตัวแปร” (Three body problem) จนลึกซึ้งได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในอีก 200 ปีต่อมา ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถแก้โจทย์นี้ออกมาได้ และเพื่อให้เรื่องนี้เร็วขึ้น ผมจะขอข้ามมาถึงในขณะที่ อองรี ปวงกาเร (Henri Poincare) สุดยอดนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศษ ได้รับรางวัลจากพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สวีเดน ในปี 1889 แต่ไม่ใช่รางวัลในการที่เขาสามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์นี้ออกมาได้ ในทางกลับกันแล้ว เขาได้รับรางวัลเนื่องจากเขาสามารถพิสูจน์ออกมาได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ออกมาต่างหาก

ข้อสรุปในเรื่องนี้นั้นง่ายๆมากๆ นั่นก็คือ โลกของเรานั้นมันช่างยิ่งใหญ่ และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายมากกว่าที่ Model ที่ละเอียดและซับซ้อนที่สุดของเราจะเก็บรายละเอียดเอาไว้ได้ทั้งหมด อีกทั้ง Model ที่มีความซับซ้อน (มีการวัดหรือใช้ตัวแปรมากกว่า 3 ตัวขึ้นไป) นั้น มักที่จะพังทลายลงให้เราพยายามใช้มันที่จะพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ออกมานั่นเอง ผลก็คือ สิ่งเหล่านี้ทำให้บรรดาเหล่า Trend Follower จึงเพ่งความสนใจไปที่รายละเอียดของสิ่งที่ “กำลัง” เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ว่ามันกำลังเกิดขึ้น “อย่างไร” แทนที่จะพยายามพยากรณ์ไปในอนาคต หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกของ “ปัจจุบัน” นั่นเอง
สำหรับตอนนี้ก็จบเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาต่อให้ในวันต่อไป รับรองว่านี่เป็นบทความที่ดีมากๆอีกบทความหนึ่งเช่นกัน อ่านแล้วชอบไม่ชอบช่วยบอกกันหน่อยนะครับ จะได้พอรู้ว่าเป็นอย่างไร หรืออย่างน้อยถือเป็นกำลังใจให้ผมแล้วกัน แล้วเจอกันใหม่ครับ
