โหราศาสตร์ฤาจะสู้ซื้อขายหุ้นระบบdsm,kzm,fats

โหราศาสตร์ฤาจะสู้ซื้อขายหุ้นระบบdsm,kzm,fats
การใช้กูเกิ้ลหาความรู้เรื่องการเล่นหุ้นมานำเสนอครับ..............

เรื่องการเทรดหุ้น ตลาดหุ้น
ผมได้บอกไปแล้วว่า เมื่อดูภาพรวมจนครบรอบ ตลาดหุ้นมันจะมีแค่ 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
1. ตลาดขึ้น ซึ่งมันจะขึ้น ขึ้น ขึ้น และ ขึ้น จนกว่ามันจะลง
2. ตลาดลง ซึ่งมันจะลง ลง ลง และ ลง จนกว่ามันจะขึ้น
ดังนั้น เราเพียงแค่คิดให้ออกว่า หุ้นขึ้นเราจะทำอย่างไร หุ้นลงเราจะทำอย่างไร
เพื่อนก็จะถามเพิ่มว่า แล้วตอน ไซค์เวย์ เราจะทำอย่างไร ................
ผมอยากจะบอกในคลับใจแทบขาด แต่ไม่ได้เข้าไปแล้ว เลยมาอธิบายในนี้เลย
ถ้าเรามองรอบ จะเห็นว่า จากเซต 300 กว่า ๆ มาจนถึงตอนนี้ 900 นิด ๆ นั่นคือ ตลาดหุ้นเป็นดังข้อ 1. นั่นคือ ตลาดหุ้นขึ้น มันก็จะขึ้น ขึ้น ขึ้น และ ขึ้น
ส่วนทุกวันที่เราเทรดอยู่ ตั้งแต่ 10.00 จนถึง 16.30 นั้น แท้จริงแล้วมันก็คือ ไซค์เวย์ นั่นเอง ( หรือไม่จริง อิอิ )
นั่นคือ ทุกวันที่เราดูหน้าจอ เฝ้าหน้าจอ มันก็คือไซค์เวย์ นั่นแหละครับ
จากนั้นมันจะเป็นไซค์เวย์ตามข้อ 1. ( ตลาดหุ้น ขึ้น ขึ้น และ ขึ้น ) หรือ ไซค์เวย์ตามข้อ 2. ( ตลาดลง ลง และ ลง ) แค่นั้นเอง
ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจไซค์เวย์หรอกครับ สนใจแต่ว่า หุ้นขึ้นจะทำอย่างไร หุ้นลงจะทำอย่างไร แค่นั้นเองครับ

ที่มา http://www.richlife-myhome.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=richlife-myhomecom&thispage=1&No=1303883






1. ไซค์โค้ง     [223.206.71.209]     08 Nov 2010 - 02:26
แล้วทำไงต่อ .............. มะอธิบายต่อเหรอ

2. google     [118.173.238.211]     08 Nov 2010 - 19:40
ท่าน ไซค์โค้ง สนใจใช่ไหม เข้ามาลุ้นนะ
ถ้าไม่เข้ามาถือว่า หมดความสนใจ

ลองอ่านต่อนะ

แบบ DSM ...ตอนที่ 1 เริ่มต้นความเข้าใจ

ตอนที่ 1 เริ่มต้นความเข้าใจ

ต้องขอบคุณ คุณเด่นศรีมาก ที่ได้จุดประกายความรู้ การลงทุนให้กับผม ที่เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นก็มาพบกับแนวทางนี้เข้า ซึ่งคิดว่ามัน เหมาะกับตัวผมอย่างมาก เพราะผม ไม่รู้เรื่องเทคนิค และ ไม่รู้เรื่อง ปัจจัยพื้นฐาน

ข้อความต่างๆต่อไปนี้ผมจะเขียนเพื่อเตือนตัวเอง และให้ตัวเองได้อ่านในบางเวลาที่ต้องการทบทวน และให้รู้ว่า เวลาหนึ่ง ผมมีความเข้าใจเรื่องของ DSM แบบ นี้นะ
.................

สิ่งแรกเลย เราต้องการอิสรภาพ หรือความมั่งคั่ง เราต้องมีเป้าหมายก่อน

สำหรับผมเองเป้าหมายของผมชัดเจนมากคือ

1.ได้อยู่กับพ่อ แม่ เลี้ยงดูเขา ตอนผมอายุ 40 ปี ณ ตอนนั้นผมได้เกษียณ ตัวเองจากการเป็นลูกจ้างประจำแล้ว

2. มีร่างกายที่แข็งแรง เรียกว่ามีกำลังที่จะใช้เงิน หรือ ใช้ชีวิตให้มีความสุข ก็ การไม่มีโรค เป็น ลาภ อันประเสริฐ

3. มีลูกสัก 2 คน มีเวลาเลี้ยงดูเขาได้เต็มที่ อยากสอนเขาให้เป็นคนดี และเก่ง

4. มีที่ทำนา 1 แปลง ขนาดประมาณ 10 ไร่ แล้วผมก็จะทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ของในหลวง ผมไม่อยากให้ลูกลืมสิ่งที่เป็นบรรพบุรุษเพราะพ่อกับแม่ผมเป็นชาวนา และผมก็มีสายเลือดของเกษตรกรเต็มตัว

5. มีที่ไร่ 1 แปลงขนาด สัก 30-40 ไร่ เพื่อทำเป็น ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนหนึ่ง และปลูกพืชไร่พวก มัน อ้อย ที่มีอายุ 1 ปี และก็แบ่งสัก 10 ไร่ปลูก ยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นพืชอายุยาว ผมยังไม่ชอบสวนยางมากนักเนื่องจาก มันไม่ใช่ตัวผม

6. มีรายได้จากการ Trade หุ้น เดือนละ 50000 บาท ก็พอแล้ว

7. ที่เหลือก็ ให้ภรรยามีเงินออม (ภรรยาผมชอบความมั่นคง) ที่ให้ผลตอบแทนจากการฝากออมทรัพย์ เฉลี่ยแล้วเดือนละ 10000 บาท ก็พอแล้ว ไม่ขอมาก

นั่นคือเป้าหมาย ซึ่งมันง่ายมากสำหรับการประเมิน

**********
แนวคิดของการลงทุนแบบ DSM นั้น เป็นลักษณะของการหารายได้ ไม่ใช่การหาส่วนต่างของกำไร คำว่ารายได้ กับส่วนต่างกำไร ผมให้คำจำกัดความตามนี้ครับ

รายได้ คือ

รายรับที่เราได้รับ จากการกระทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็น แรงงาน แรงสมอง แรงเงิน หรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่เราได้ กระทำลงไป เช่นว่า ผมได้ซื้อวัวมาเลี้ยง 3 ตัว (ผมลงทุนเงินซื้อวัว) เป็นวัวตัวเมีย แล้ว 1 ปีผ่านไป วัวผมก็ตกลูกทั้ง 3 ตัว และทุกๆ ปีวัวผมก็จะตกลูกทุกๆ 3 ตัว จนวันหนึ่งผมมีความรู้สึกว่า ผมสามารถควบคุมได้ดีที่สุดไม่เกิน 9 ตัว ซึ่งหลังจากนั้น วัวที่ตกลูกออกมา ผมก็จะขายออกไป ซึ่งผมจะเลี้ยงตัวที่ดีที่สุดไว้ 9 ตัว ตลอด เพื่อให้ตกลูกที่ดีที่สุดสำหรับผม ซึ่งการขายวัวส่วนเกินออกไป ผมก็มีเงินเข้ามา ผมเรียกว่ารายได้ จากการลงทุนเลี้ยงวัวของผม จะเห็นว่า รายได้ผมเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปแล้วหลายปี ซึ่งผมก็รอ เพราะ มันต้องอาศัยเวลา แต่หลังจากนั้นทุกปี ผมก็จะมีรายได้จากการขายวัว ทุกปี อย่างต่ำก็ปีละ 5 ตัว ก็ผมมีวัวตั้ง 9 ตัวที่พร้อมตกลูกนิครับ อีก 4 ตัว สำหรับ การเกิดสิ่งไม่คาดคิด แม้ว่าในปีนั้นๆ ราคาวัวมันจะตกต่ำลงไป แต่ผมก็ไม่เสียใจเลย

ส่วน กำไร จาก ส่วนต่าง ก็คือ การซื้อมา ขายไป เช่น ผมซื้อวัว 3 ตัวมาเลี้ยง แล้วผมก็พยายามเลี้ยงมันให้ดี เติบโต เพื่อจะขายให้ได้ราคามากว่าที่ผมซื้อมา อันนี้เรียกว่า ได้กำไรส่วนต่าง แต่การหากำไรส่วนต่าง ผมก็ต้องวิ่งหาซื้อวัวตัวใหม่เพื่อมาเลี้ยงให้มันเติบโต แล้วก็ขายออกไป ตลอด ซึ่งบางครั้งก็ต้องขาดทุนบ้าง เนื่องจากราคาวัวมันไม่ดี

ดังนั้น ถ้าจะสรุป ความต่างกัน ก็คงเป็นอย่างที่ เขาบอกไว้

การลงทุน -- นักธุรกิจ--รายได้
การลงทุน -- พ่อค้า -- ส่วนต่างราคา

*************

สำหรับการลงทุนแบบ DSM ก็จะคล้ายกับ นักธุรกิจ คือ พยายามหารายได้จากหุ้น ที่เราได้ลงทุนไป

วิธีการหารายได้ก็คือ การขาย แล้ว ก็ซื้อคืน ในราคาที่ต่ำกว่าขายไป
เช่น ผมขายหุ้น ไป 10000 หุ้น ราคา 10 บาท แล้วซื้อคืน 10000 หุ้น ราคา 9 บาท ผมก็มีเงินเหลือ 1000 บาท จากการซื้อหุ้นคืน เงิน 1000 บาทนี้ผมเรียกว่า รายได้ ถ้าภาษานักเล่นหุ้น จะเรียกการ Shot Port ซึ่งผมก็ยังคงมีหุ้นอยู่ครบ ตามจำนวนเหมือนเดิม

*************

เราจะเลือกหุ้นอย่างไร

คุณเด่นศรีได้บอกชัดเจนว่า การเลือกหุ้นสำคัญมาก มันสำคัญอย่างไร ประเด็นตรงนี้ก็คือ ต้องมั่นใจว่าหุ้นนั้นจะอยู่กับเรา หรืออยู่ในตลาดได้นานที่สุด เรียกได้ว่า นานตลอดไปเลยยิ่งดี
สาเหตุที่ต้องบอกอย่างนี้ก็เพราะว่า ถ้าเราเลือกหุ้นที่ผิดแล้ว วันดีคืนดี เกิด ถูกขับออกจากตลาด หรือ ถูกระงับการซื้อ ขาย เราก็จะไม่สามารถหารายได้จากหุ้นเราได้ ดังนั้น หุ้นที่จะเลือกเข้ามาลงทุนจึงควรเป็นหุ้นที่ยืนยง ยืนยาว และ ยืนหยุ่น เพราะถ้ามันแข็ง ไม่ขยับไปไหนเลยเราก็ตายเหมือนกัน เพราะไม่ได้ ขาย หรือ ซื้อซะที

เขาแนะนำหุ้นในกลุ่ม Set 50 ซึ่งก็ถือว่าดี ผ่านการกรองของมืออาชีพแล้ว จึงให้อยู่ในกลุ่ม Set 50 ได้

************

จำนวนที่ควรมี

ผมว่าขั้นต่ำหุ้นที่จะทำได้ดี ก็ควรมีสัก 1000 หุ้น แต่ให้ดีที่สุดคือ 10000 หุ้น สาเหตุที่ต้องมี 1000 หุ้นขั้นต่ำก็เนื่องจากว่า เราจะแบ่งขายออกเป็น 10% ก็จะได้ขายทั้งหมด 10 ราคา และทาง ตลาดเขาก็ให้กำหนดไว้ที่ขั้นต่ำของการขาย 100 หุ้น ซึ่งมันก็เท่ากับ 10% พอดี

แต่ก็ใช่ว่า มี 500 หุ้นจะทำไม่ได้ ก็ทำได้เหมือนกัน แต่ มันก็ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างให้เหมาะสมกับจำนวน

หลักการขายคืออะไร

เขาบอกมาค่อนข้างชัดเจน และผมลองแล้วก็เป็นเหมือนเขา คือ แบบนี้แหละสบายใจที่สุดคือ การขาย ทุก 10% ทุกการลงของราคา 3 ช่องราคา จริงๆแล้ว ที่ 3 ช่องราคา นี้ก็แล้วแต่เราจะกำหนดดีกว่า แบบ ที่เราพอใจ

ยกตัวอย่าง มี PTTEP 1000 หุ้น และราคาไหลลงจาก 160 บาท เราก็จะทยอยขายครับ เช่น ขาย 157 * 100 หุ้น (เผอิญ ผมชอบ 1 ช่องราคาที่ 1 บาท ซึ่งก่อนหน้าจะมีการปรับ Sprade หุ้นที่ราคา 100-200 บาท จะมีการขยับ 1.0 บาท ต่อช่อง แต่ตอนนี้ปรับเหลือ 0.5 บาท ...ก็ช่างเขา)

ครั้งต่อไปผมก็จะขายที่
154*100
151*100
148*100

ประมาณนี้ ถ้ามันลงต่อ เราก็จะขายไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะไม่ลง พอมันหยุดลง เราก็หยุดขาย แต่พอมันขึ้นมา เราจึงค่อยซื้อคืนในส่วนที่เราซื้อแล้วราคาต่ำกว่าที่ขาย

หลักการซื้อคืนเป็นอย่างไร

พี่เด่นศรีเขียนจากประสบการไว้ว่า การซื้อคืนมี 3 กรณีคือ
1. ซื้อเมื่อได้สัก 5 ช่องของส่วนต่าง
2. ซื้อเมื่อได้สัก 2-3 ราคาที่ได้กลับมา
3. ซื้อเมื่อมันวกกลับมาจากจุดต่ำสุด สัก 3 ช่อง

อันนี้ก็แล้วแต่เราครับ ประเด็นคือ ให้เราซื้อแล้วได้ส่วนต่างจากการขายไปก็พอ แบบ ไม่ต้องเดาตลาดครับ

เช่น มันขึ้นมาที่ 149 --150--151--
ผมอาจจะซื้อที่ 150 ก็ได้ หรือ ซื้อ ที่ 151 ก็ได้ แล้วแต่

แต่ผมจะซื้อที่ 151 จำนวน 200 หุ้น ซึ่งทำให้ผมได้หุ้นที่ขาย 154 *100 กับ 157*100 กลับคืนมา และหุ้นผมก็จะคงเหลือใน Port 800 หุ้น และมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 900 บาท แบบไม่มีค่าคอมฯ

เงิน 900 บาท นี้ผมเรียกว่า รายได้ แต่คุณเด่นศรีนิยามว่าเป็น กระแสเงินสดแฝง ครับ ผมจะใช้ตัวย่อว่า กสงฝ.

หน้าที่ของเรามีแค่เพียง ขายแล้วซื้อคืนให้ถูกกว่าที่ขายไป และก็เพิ่มจำนวนหุ้น ให้ได้ตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้แค่นั้นเองครับ

***********

ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=derden&month=09-2009&date=12&group=5&gblog=1



3. อ่านต่อ     [118.173.238.211]     08 Nov 2010 - 19:54
แบบ DSM ...ตอนที่ 2 เริ่มเข้าสู่การปฏิบัติ

สรุปหลักการขาย

1. ยิ่งลง ยิ่งขาย
2. หยุดลง หยุดขาย
3. ลงทุกๆ 3 ช่อง ขาย 10%

สรุปหลักการซื้อ

ซื้อให้ถูกว่าขาย โดย
1. ซื้อเมื่อได้ต่ำกว่าราคาขาย 5 ช่อง
2. ซื้อเมื่อได้หุ้นคืนมา 2-3 ราคา
3. ซื้อเมื่อหุ้นวกกลับ จากจุดต่ำสุด 3 ช่องราคา

เมื่อเราขายไปเรื่อยๆ มันจะเกิดมีหุ้นที่เราซื้อคืนไม่ได้ เนื่องจากหุ้นมันขึ้น ทำให้เราต้องทิ้งไว้ ด้านล่าง เช่น จากตัวอย่าง เราไม่สามารถซื้อหุ้นที่ราคา
151*100
148*100 คืนได้ ถ้าหุ้นมันพุ่งขึ้นไป ตลอด

แล้วที่ทิ้งไว้ จะทำอย่างไร
ส่วนที่ทิ้งไว้ เราเรียกว่า กองหลังครับ หุ้นพวกนี้ จะเอาไว้เล่นทางลงอย่างเดียว คล้ายๆกับว่า ถ้าหุ้น ลงมาถึงราคานี้ ก็น่าจะบอกได้ว่า เริ่มลงแล้วนะ เราก็ต้องขายต่อ จากนี้ไปแล้วนะ ลงต่อก็ขายต่อ
มันเป็นสัญญาณบอกในตัวเองเลยว่า ถึงจุดเริ่มต้นใหม่ของเราแล้ว ถ้าอยากดูว่า เราดีขึ้นหรือ ไม่ก็ดู ณ จุดนี้ได้เลย แต่มันมีหน้าที่มากกว่านี้อีกนะ เขาว่าไว้ แล้วมันมีหน้าที่อะไร อีกล่ะครับ แล้วค่อยกลับมาดูกัน

แต่ เชื่อเถอะว่า ได้ซื้อคืนแน่ๆ เหมือนกับ การเลี้ยงวัวล่ะครับ ต้องรอหน่อย

************

การเพิ่มจำนวนหุ้น

คุณเด่นศรีเคยบอกว่า เขาจะเพิ่มจำนวนหุ้นที่เขาเหลืออยู่น้อย เป้าหมายก็คือ ต้องการมีหุ้นนั้นอยู่ไว้ขาย เพื่อสร้างโอกาสซื้อ เพื่อให้มีรายได้จากหุ้นตัวนั้นได้ตลอดไป หรือถ้าลงก็ จะเป็นการได้หุ้นเพิ่มขึ้นไปในตัว ซึ่งเขาบอกว่าจะซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นเหลือประมาณ 10-20 %

ก่อนอื่นต้องย้อนกับมาที่เดิมก่อน สำหรับผมเอง ผมจะเพิ่มตอนซื้อแบบที่ 3 คือเมื่อวกกลับ เนื่องจากเป็นการซื้อที่ให้ประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะแสดงว่า เราได้ซื้อหุ้นที่ราคาค่อนข้างจะถูก จะลงต่อ ไป ก็ทำต่อไป ก็ในเมื่อผมต้องการเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นอยู่แล้ว และ ผมก็มีเป้าหมายว่า ต้องมีหุ้นนั้นเท่าไหร่หุ้น ซึ่งการซื้อเพิ่มพร้อมการซื้อแบบที่ 3 จะช่วยผมให้มีหุ้นเพิ่มขึ้นมาได้ตามเป้าหมายของผมเร็วขึ้น

พอผมได้ตามเป้าหมายแล้วผมก็จะขยายไปยังตัวต่อ ไป ที่ผมเล็งไว้ การซื้อเพิ่มตัวต่อไปก็เช่นกัน สมมติผมยังไม่มีหุ้นตัวนั้น ถ้าหุ้นนั้นยังลง ผมก็ยังไม่ซื้อ แต่ถ้าเมื่อไหร่ มันเริ่มขึ้นมา ก็เป็นจังหวะที่เราจะได้เพิ่มหุ้นอีกตัวครับ

*********

เมื่อไหร่ที่ผมจะซื้อแบบที่ 1 หรือ 2 หรือ 3

แบบที่ 3 คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มแล้ว ส่วนแบบที่ 1 กับ 2 นั้นเราเองอาจจะสับสนว่าเมื่อไหร่ควรซื้อคืน

สิ่งสำคัญอย่าหลงประเด็นของตัวเองครับ เราต้องการซื้อถูกว่าที่ขายไป การซื้อเท่าไหร่ก็ถือว่าดีถ้าซื้อแล้วถูกกว่าที่ขายไป แต่จะให้ดีขึ้นถ้าเรามีหลักการเป็นของเราเอง

การซื้อคืนเมื่อได้สัก 5 ช่องกับ ซื้อเมื่อได้ 2-3 ราคาผมว่ามันคล้ายกันครับ
ก็มีได้ 2 แบบคือ
1. ก็เราขายไป แล้วหุ้นมันไม่ลงต่อ มันขยับอยู่แถวนี้ ไปๆมาๆ เราก็ซื้อกลับเลย ถ้ามันลงต่อก็ขายต่อไป
2. กรณีมีหุ้นเหลือน้อยแล้ว เราไม่อยากเสียหุ้นไป เช่นว่า เรามีกองหลังค่อนข้างจะมากแล้ว หลายกอง บางทีราคาหุ้นลงไปถึงจุดสูงสุดของกองหลังต่างๆ เราก็ชื้อคืนได้เลยกันเหนียว ถ้าลงต่อเลยกองหลังไป เราก็ค่อยขายต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วเราก็จะได้เงินเหลือกลับมาอยู่ดี และมีเงินให้ซื้อหุ้นเพิ่มด้วย ก็บรรลุเป้าหมายตัวเองแล้ว

***********
หลักการ 3-0-2-8 คืออะไร

จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรมากมายให้เราต้องใส่ใจมันมาก และไม่ต้องยึดติดกับมันมากครับ

3 คือ กองหลัง ที่เราทิ้งไว้ มันซื้อคืนไม่ได้เนื่องจากหุ้นมันได้วกขึ้นไปแล้ว
จริงๆ การมีกองหลังนั่นคือดีครับ แสดงว่าหุ้นเราได้มีการขยับขึ้นไปแล้ว ยึ่งขึ้นไปเลยสูงๆเลยยิ่งดีครับ ให้ห่างไปเลย มันจะเป็นโอกาสให้เราได้ขยายพอร์ตการลงทุนโดยความเสี่ยงน้อยลง

0 ก็คือ ช่วงที่ไม่ต้องทำอะไร เนื่องจากราคาหุ้นไม่ขยับไปไกลกว่าจะขายอีก

2 อันนี้เหมาะสำหรับกรณีมีหุ้นหลัก 10000 หุ้นขึ้นไป ซึ่งหมายความว่า เราเอาหุ้นส่วนที่เหลือ มาแบ่งซื้อๆขายๆ พยายามชื้อกลับคืนให้ได้ เป็นการหารายได้จากการขยับช่วงแคบๆ หรือช่วงที่เรียกว่า Side Way แก้เหงา

8 ก็คือ หุ้นส่วนที่เหลือเอาไว้ขายที่สูง ก็คือที่สำหรับ Shot ใหม่นั่นเองครับ

สำหรับการขายที่จุด Shot ใหม่ก็ ขาย 10% ของที่เหลือครับ มันก็จะวนเป็น 3 - 0 - 2 - 8 ไปเรื่อยๆ แต่จำนวนมันลดลงแน่นอนครับสำหรับหุ้นตัวนั้น

แต่ขอให้ happy กับมันเถอะครับ ที่หุ้นเราลดลง จากการขึ้นของหุ้น แล้วมันจะทำให้เรามีหุ้นเพิ่มขึ้นเองในภายภาคหน้า ที่เรามีจำนวนหุ้นมากๆแล้ว มันจะหมุนรอบซึ่งกันและกัน เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปครับ

************
มีข้อคิดข้อถาม

ถ้าเราถูกให้จำกัดสิทธ์ในการถือครองหุ้นได้ไม่เกินเท่านั้น เท่านี้หุ้น เราจะทำอย่างไรกับหุ้นเรา...


4. อ่านต่อ     [118.173.238.211]     08 Nov 2010 - 20:06
แบบ DSM ...ตอนที่ 2 เริ่มเข้าสู่การปฏิบัติ (ต่อ)

จากคำถามหลังจบ ตอนก่อนหน้า..

โดยความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนอย่างนักลงทุนต่างประเทศ ผมคิดว่า เขาคงไม่ได้ต้องการการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขนาดที่ต้องส่งคนมาดำเนินการเอง ไม่งั้น กองทุนใหญ่ ต้องจ้างผู้บริหารมานั่งเป็นกรรมการกับบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นอยู่ทุกตัว ทั่วโลกแน่

แต่ผมว่า สิ่งที่เขาจะทำ หรือ ถ้าเป็นผม ผมก็เพียงแต่ มีหุ้นของพวกเขาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแบบ ไม่ต้องให้ตัวเองยุ่งยากในเรื่องของกฎหมายด้วย เลยยิ่งดี ดังนั้น การที่แม้ผมจะมีเงินมากแค่ไหน ยังไงซะผมก็คงไม่ซื้อหุ้นตลอดเพื่อที่จะมีจำนวนหุ้นมากเกินกว่าที่ตัวเอง กำหนดไว้แล้ว ซึ่งการซื้อหุ้นเพิ่มตลอดมันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเงินมากอย่างกองทุน หรือ ต่างชาติ มันก็จะทำให้หุ้นขึ้น ก็อย่างที่เราเห็นกันว่า ถ้าต่างชาติซื้อ หุ้นก็มักจะขึ้น ถ้าต่างชาติขาย หุ้นก็มักจะลง

การมีหุ้นแล้วทำอย่างไร ก็ต้องหาวิธีการที่จะหาเงินออกมาจากหุ้น ผมจะซื้อๆ ขายๆ ซึ่ง เมื่อไหร่ที่ผมต้องการได้เงินผมก็จะขายๆๆๆๆๆ แล้วก็ซื้อๆๆๆๆ ที่ถูกกว่าที่ขายไป เพื่อเอาหุ้นที่ผมขายไปกลับคืนมา แล้วผมก็จะได้เงินกลับออกมาด้วย

แล้วผมก็ยังสามารถควบคุม การขึ้นลงได้ตามที่ผมต้องการได้อีก เนื่องจากผมมีหุ้น จำนวนมากเหมือนเดิมแล้ว อยากให้ขึ้น ก็ซื้อหน่อย อยากให้ลงก็ ขายบ้าง ประมาณนี้ ดังนั้น เราจึงอยู่ในเกมที่คุนมีหุ้นจำนวนมาก และมีเงินจำนวนมากกำหนดอยู่ และหน้าที่เราก็คือ เกาะพวกเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็คล้ายกับการลงทุนแบบ DSM เลยล่ะ...

ข่าวดี ข่าวลบ หรือ สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลกระทบกับราคาหุ้น ถ้าเราเตรียมความพร้อม เราก็จะใช้ข่าวนั้นให้เป็นประโยชน์กับเรามากที่สุด เรียกว่า ยิ้มรับกับข่าวทั้งดี และร้าย เลยล่ะ บางที

***********

เรื่องการเพิ่มหุ้น และการแบ่งส่วนของเงิน

คุณเด่นศรีบอกว่า เงินที่หาได้ ต้องมีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ซึ่ง Concept นี้ก็ธรรมชาติมากๆ ครับยังไงผมจึงเรียกว่าธรรมชาติมาก ก็เนื่องจาก ไม่ว่าหนังสือเล่มไหนๆ หรือ ใครๆที่แนะนำทางการเงินก็มีแต่จะบอกว่า ถ้าอยากรวย ก็ต้อง

1. เงินที่หามาได้แบ่งจ่ายให้ตัวเองก่อน คืออย่างน้อย เก็บ 10% ของที่หาได้ แต่พี่เด่นศรี เขาให้เก็บเป็นเงินสำรองถึง 25% ซึ่งมันก็ดีที่ทำให้เราออมได้มากขึ้น

2. เงินที่หามาได้ มันก็ต้องใช้จ่ายตามปกติครับ คงไม่มีใครทำงานเพื่อ เก็บอย่างเดียว เราก็ต้องใช้จ่ายบ้าง ซึ่งตรงนี้ก็แบ่งเป็นค่าบริการ 25% อีกเช่นกัน

3. อันนี้สำคัญ เงินสำหรับการลงทุน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคนหาเงินมาได้มักจะไม่นำมาลงทุนต่อ แต่จะมีการเก็บไว้เป็นเงินออม หรือ ก็ใช้จนหมดเป็นหนี้สินกัน ซึ่ง แนวทางคนรวยก็จะบอกไว้เสมอว่า ต้องมีเงินสำหรับการลงทุน การลงทุน ก็คือ ซื้อสิ่งที่เป็นทรัพย์สิน คำว่าทรัพย์สิน ผมยกเครดิตให้กับ พ่อรวยสอนลูกที่ กล่าวไว้ได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด คือ ซื้อสิ่งที่มันจะสร้างรายได้ให้เราต่อไปได้อีก ซึ่งเราเล่นหุ้น เราก็ซื้อหุ้นนั่นแหละ หรือ เราอาจจะไปซื้อ อสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถเก็บค่าเช่าได้ตลอด ก็เป็นการลงทุนเช่นกัน เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ คุณเด่นศรีได้กันไว้ ถึง 50%

จะว่าไป ถ้าเราๆ ท่านๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ถ้าทำได้ตาม 3 ข้อนี้ผมว่า รวยครับ ดังนั้น วิธีการของ DSM ก็คือวิธีการที่ประยุกต์ออกมาจากชีวิตจริง หรือจะเรียกว่า สามารถทำมาใช้กับชีวิตจริงก็ได้ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น หรือ เป็นอิสรภาพทางการเงิน นั่นเองครับ...

***********

ดังนั้นการเพิ่มหุ้น จึงมีหลักการจากการนำเงินที่หาได้มาลงทุนต่อไป ไม่ใช่การยืมเงิน หรือการโยกเงิน

อันนี้อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า การทำธุรกิจ หรือการลงทุน ก็สามารถยืมเงินได้ เพราะใครๆ ก็กู้เงินเพื่อทำธุรกิจกันทั้งนั้น ซึ่งมันก็จริงครับ ถ้าเงินที่เรากู้มา สร้างธุรกิจ แล้ว มันสามารถ จ่ายค่าผ่อนคืนเขาพร้อมทั้งยังมีเงินเหลือให้กับเราได้

แต่สำหรับการเล่นหุ้นหรือลงทุนหุ้นยังไงผมก็ยัง ยึดติดกับหลักการครับ คือ นำเงินที่หาได้ มาลงทุนเพิ่ม เพราะเราไม่รู้หรอกว่า เมื่อไหร่ เจ้าของเงิน เขาจะอยากได้ของเขาคืน....ทำได้แค่นั้นมันก็สุดยอดแล้วนะผมว่า...

แล้วมันก็เกิดคำถามว่า บางทีเงินเราจมอยู่กับ การขายที่ราคาต่ำๆ หุ้นมันได้ขึ้นไปสูงแล้ว เสียดายจัง น่าจะเอาไปซื้อตัวอื่น ให้มันได้ใช้ประโยชน์มั่ง

ก็จริงครับ เงินมันจม อย่างต่ำก็ 30 % ล่ะ มากด้วยสิ

อันนี้มันก็มีวิธีแก้ครับ ซึ่งวิธีแก้ไข มันก็ทำได้หลายอย่าง

แบบที่ 1. การซื้อเพิ่มโดยใช้เงินสดแฝงในอนาคต ขอบคุณ คุณ ปลาดาวที่ช่วยสร้างคำนี้ขึ้นมา

คำว่าเงินสดแฝงในอนาคต หมายถึงอะไร ก็หมายความว่า เป็นเงินสดแฝงที่เราจะได้แน่นอน ถ้าหุ้น ลงมาให้เราซื้อ พวกที่เราขายไว้เนี่ย ซึ่ง อันนี้เราจะทำตามแผนอย่างเคร่งครัดเลยครับ

ยกตัวอย่างให้เข้าใจ

ผมขาย

PTTEP 1000 หุ้นที่ราคา 80.0 บาท ........1
PTTEP 1000 หุ้นที่ราคา 78.5 บาท ........2
PTTEP 1000 หุ้นที่ราคา 77.0 บาท ........3

แล้วปัจจุบันหุ้นมันขึ้นไปมาก จน 150 บาทแล้ว เสียดายกองหลังทั้ง 3 จัง


5. อ่านต่อ     [118.173.238.211]     08 Nov 2010 - 20:12
แบบ DSM ...ตอนที่ 3 ขยายกิจการ

จากตอนที่ผ่านมา ผมทิ้งประเด็นการเพิ่มหุ้นด้วย กระแสเงินสดแฝงอนาคต จากหุ้น PTTEP

จากการขายดังนี้

PTTEP 1000 หุ้นที่ราคา 80.0 บาท ........1
PTTEP 1000 หุ้นที่ราคา 78.5 บาท ........2
PTTEP 1000 หุ้นที่ราคา 77.0 บาท ........3

แล้วปัจจุบันหุ้นมันขึ้นไปมาก จน 150 บาทแล้ว เสียดายกองหลังทั้ง 3 จัง มันมีวิธีคิดดังนี้ครับ

ถ้าเรามีหุ้นอยู่ 10000 หุ้น ก็คงเหลือ ประมาณ 7000 หุ้นเป็นอย่างมากละ ที่ราคา 150 บาท สำหรับพวกไม่ขายเลยระหว่างทาง แต่ก็ไม่เป็นไร เหลือเท่าไหร่ก็ไม่ว่า และ เป้าหมายคือการสะสมหุ้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก สมมุติว่า หุ้นมันลงมา ที่ราคา 80 บาทอีกครั้งหนึ่ง ณ จุดนี้ เข้าใจว่า ถ้าเราไม่มีการเพิ่มหุ้นก่อนหน้านั้น ก็คงจะมีหุ้นในมือ หรือ มีเงินที่สามารถซื้อหุ้นได้แน่นอน 7000 หุ้น พร้อมมีเงินเหลืออีกเพียบเลยครับ

แล้ว หุ้นมันก็ลงไปเรื่อยๆๆๆๆ จึงเป็นได้ 2 แบบครับ คือ

1. เราขายต่อไปเรื่อยๆ ที่ราคา 75.5 *1000 หุ้น
74.0 *1000 หุ้น
72.5 *1000 หุ้น
71.0 *1000 หุ้น
69.5 *1000 หุ้น
68.0 *1000 หุ้น
66.5 *1000 หุ้น

แล้วหุ้นมันก็ลงต่อไปอีก ไปอีก อันนี้แบบ สุดโต่งเลยนะครับ หรือมันจะวกกลับก็แล้วแต่ แต่ยังไง เราก็จะมีกองหลังไว้ที่ 3 ตัวตลอด ทำให้เราสามารถซื้อได้ตั้งแต่ราคา 71 ขึ้นไป สมมุติว่าซื้อที่ราคา 69 บาท จำนวน 7000 หุ้น ก็จะเป็นเงิน ประมาณ 483000 บาท (ไม่คิดค่าคอม) กับที่เราขายออกไป หักแล้วก็จะเหลือประมาณ 45500 บาท เราก็นำ 45500 ไปแบ่งเป็น 3 กองอีก คือ เป็นเงิน ออม เงินบริการ และเงินเพิ่มพอร์ต 50% ก็เท่ากับว่า ผมสามารถซื้อหุ้นที่ราคา 150 บาทได้ 150 หุ้น แต่เขาไม่ขาย 150 หุ้น เขาขายแค่ 100 หรือ 200 ก็เลือกเอาว่าเราจะเน้นที่จุดไหน

มันก็หมายความว่า ถ้าผมซื้อที่ 150 บาท แล้ว ราคา หุ้นร่วงลงมา แล้วผมก็ขายตามแผนการณ์นี้ สุดท้ายแล้ว ผมก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้น 100-200 หุ้น โดยที่ไม่ต้องควักกระเป๋าตังค์ อันนี้ก็ยังไม่คิด รายได้ที่จะเกิดขึ้นกับมันอีกแน่นอน จาก 150 บาท ลงมา กับ รายได้จาก 7000 หุ้นที่ลงมาจาก 150 ลงมา ที่ 80 บาท ซึ่งยังไงซะ Port ก้คงไม่สะดุด

อันนี้เป็นหลักการการทำที่ไม่ทำให้ Port สะดุดครับ

2. แบบที่ผมไม่คิดไกลขนาดนั้น หมายความว่า ผมจะคิดว่าโอกาสที่หุ้นจะลงให้ผมซื้อทีเดียว 7000 หุ้นหรือ 70% มันก็ยากอยู่ (แต่มันก็เป็นไปแล้ว ซื้อทีเดียว 200% ยังเกิดแล้วครับ)

ผมอาจจะซื้อได้แต่ 3 ไม้เท่านั้นแหละ ก็คิดเสียว่า ซื้อคืน 3 ไม่ข้างล่างเท่านั้น สมมุติที่ราคา 75 บาท จำนวน 3000 หุ้น ก็เป็นเงิน 22500 บาท กับเงินที่ขาย 3 ไม้นั้น 235500 บาท ก็จะเหลือส่วนต่างประมาณ 10500 บาท

ผมก็นำเงิน 10500 บาทนี้ไปแบ่งเป็น 3 ส่วนเหมือนเดิม แล้วเงินส่วนที่ต้องไปขยายพอร์ต ก็ไปทำหน้าที่มันซะ จะเป็นการไปซื้อตัวใหม่เพิ่มก็ไม่ว่ากัน

ประมาณนี้ครับ หลักการใช้เงินสดแฝงอนาคต รับรองได้ว่า พอร์ต ไม่สะดุดแน่นอนครับ

เจ้าของบทความเขียนไว้แค่นี้
ไม่มาเขียนต่อเป็นปีแล้วจ้า




6. google     [118.173.238.211]     08 Nov 2010 - 20:28
สนใจแต่ว่า หุ้นขึ้นจะทำอย่างไร หุ้นลงจะทำอย่างไร แค่นั้นเองครับ

ดังนั้นระบบซื้อขายหุ้นแบบ DSM จึงอยู่ตรง
การซื้อขายตามรหัส 3-0-2-8

ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจ คำว่า 3-0-2-8 ให้ดีๆ

วาทะเจ้าสำนักเกี่ยวกับ 3 - 0 - 2 - 8

3 - 0 - 2 - 8 เป็นระบบเทรดของ DSM ที่สร้างรูปแบบขึ้นมา
เพื่อเป็นโครงสร้างในการลงทุนของ DSM

ปัญหาของการลงทุนในหุ้น มีหลายอย่าง แต่ทุกอย่างเกิดจากการที่เราไม่รู้ว่า
พรุ่งนี้ ราคาของหุ้นในมือเรา จะเป็นอย่างไร

พอหุ้นลง ก็ไม่กล้าซื้อ นอกจากไม่กล้าซื้อ ก็ยังไม่กล้าขาย
พอหุ้นขึ้น นอกจากไม่กล้าขาย ( กลัวเสียดายถ้าราคาไปต่อ ) ก็ยังไม่กล้าซื้อตาม
พอหุ้นสูง ก็เกิดมั่นใจ ลงเงินหมดหน้าตัก
พอหุ้นต่ำ กลับชักเงินหนี

หุ้นในมือ กำไรเป็นก้อน ก็กลับทำให้กำไรหายไปกับมือ

ปัญหาเหล่านี้เพราะเราไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้ ราคามันจะเป็นอย่างไร


3 - 0 - 2 - 8 = โครงสร้างหลักของระบบ

ถ้าจะเปรียบเทียบกันการสร้างตึก สูตรนี้ก็เหมือนกับเสาเข็มที่เป็นแกนโครงสร้างที่ทำให้ทุกส่วนของตึกมั่นคง

ถ้าจะเปรียบเป็นทีมฟุตบอล ก็เหมือนต้องมี ผุ้รักษาประตู กองหลังตัวหลัก กองกลางตัวหลัก และ กองหน้าตัวเป้า

ผู้เล่นที่เหลือ ก็จะสามารถเคลื่อนที่ไปได้ทั่วทั้งสนาม โดยที่ระบบของทีมไม่เทไปข้างใดข้างหนึ่ง ไปเอาแต่บุก ไม่เอาแต่รับ ไม่มัวแต่ยึกยักอยู่กลางสนาม

แต่ระบบของทีม กองหลังจะทำให้การตั้งร้บเป็นไปอย่างมีระบบ กองกลางที่เล่นคุมพื้นที่ได้เข้มแข็ง และ กองหน้าที่ทำประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แล้วยังมีผู้รักษาประตูคอยหนุนตัวสุดท้ายอยู่อีก

3 - 0 - 2 - 8 จึงเป็นแกนโครงสร้างที่ทำให้การลงทุนในหุ้น สมดุลย์กันโดยไม่ต้องพะวงว่า หุ้นกำลังขึ้นหรือลง หุ้นจะตกต่ำ หรือจะวิ่งแบบกระทิง

DSM จึงต้องเอาใจใส่เรียนรู้ 3 - 0 - 2 - 8 ให้แน่น




7. google     [118.173.238.211]     08 Nov 2010 - 20:38
ปัญหา การใช้ 3-0-2-8

DSM 3-0-2-8 เเบบที่ผมเทรดอยู่ปัจจุบัน

สวัสดีครับ เห็นเพื่อนๆเสนอเเนวคิดการเทรดกัน ตอนเเรกว่าจะไม่เขียน

เพราะเคยคุยกันเยอะไปรอบหนึ่งหลัง meeting DSM ตอนตุลา.....ขอพูด

โดยพื้นฐานว่าอ่าน DSM มาพอสำควรเเล้วนะครับ

PS ขอบคุณคุณเด่นศรี เเละพี่ๆเก่าๆทุกท่านที่ทำให้มีความรู้มากมายเกี๋ยวกับ

การเทรด DSM ในคลังกระทู้เก่า......เเละขอบคุณพี่วสันต์ที่ช่วยเเนะนำใน

การเทรดครับ

ที่มา http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8679851/I8679851.html


8. ขอบคุณ     [58.8.8.103]     08 Nov 2010 - 21:09
ไปเขียนในเวปหุ้นดีกว่าไหม ที่นี่เวปโหราศาสตร์นะครับ.....

9. google     [118.172.176.233]     09 Nov 2010 - 13:24
ประเด็นที่ควรทำความเข้าใจ

3 กองหลังที่น่าจะเข้าใจกันดี

0-2 กองกลาง ผมเล่น 20 ช่อง ขาย 1% ทุก 2 ช่องที่ขึ้น

8 กองหน้าพาขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มโอกาสการทำ กสงฝ ให้มากขึ้น

พูดถึง 8 ก่อนนิดหนึ่ง เเบบของผมคือทำเป็น loop ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้

กำหนดว่าต้องเริ่มทำงานที่จุดไหน พี่บางท่านอาจจะกำหนดให้เเปดทำงานที่

800 จุด เเต่ของผมไม่ได้กำหนดนะครับ

ซื้อหุ้น 10,000 หุ้นราคา 10.2 นะครับ

เริ่มจาก 3 ก่อน หุ้นตกก็ขายที่ละ 10% ไปเรื่อยๆ เเล้วซื้อคืน ผมเลือกซื้อคืนเเบบ 5 ช่องนะครับ เคยพยายาม จะใช้เเบบขึ้นมา 4 ช่องเเล้วซื้อคืนเเต่ใจยังไม่เเข็งพอ :)

เริ่ม 10.2 10,000 เเล้วหุ้นตก

10.00 Sell 1,000

9.9 Sell 1,000

9.8 Sell 1,000

ถ้ามันตกไปอีก เช่น ตกมา 9.75 ก็ซื้อคืนไม้ที่ขายที่ 10.00 เเละถ้ามันตกอีก
ก็ขายต่อที่ 9.7 อีก 1,000

ต่อไป 0-2 ขายไป 3 ไม้เเล้วขึ้น

10.00 Sell 1,000

9.9 Sell 1,000

9.8 Sell 1,000 เเล้วเริ่มขึ้น

0 คือระยะที่เว้นระหว่างกองหลังเเต่ละ loop ผมใช้ 20 ช่อง

2 คือ ขาย 1 % ทุก 2 ช่องที่ขึ้น เเล้วซื้อคืนถ้ามันลงมา ผมใช้เเบบเดิมลง
มา 5 ช่องก็ซื้อคืน

12 s 100
11.8 s 100
11.6 s 100
11.4 s 100
11.2 s 100
11 s 100
10.8 s 100
10.6 s 100
10.4 s 100
10.2 s 100

10 S 1,000
9.9 S 1,000
9.8 S 1,000





10. อ่านต่อ     [118.172.176.233]     09 Nov 2010 - 13:53
ก่อนถึงรหัส 8

ขอพูดวิธีการซื้อก่อน มี 2 เเบบ ซื้อคืนเเละซื้อเพิ่ม เพื่อให้มี 8

ต้องใช้การซื้อเพิ่ม จากเมื้อกี้ถ้าเราดูจำนวนหุ้นจะเห็นว่า ที่ 10 [หลังจากลง

ไป 9.8เเล้วขึ้นมา] เรามีหุ้นเหลือ 7,000[ .... 8 ???] ที่ 12 เรามีหุ้นเหลือ

6,000 [ .... 8 ???] .... อ้าวเเล้วไหนอะ 8 ...... เราก็เลยซื้อเพิ่มให้ครบ 8

ไงครับ

12... s 100 BUY 2,000 หุ้นรวม 6,000+2,000=8,000
11.8 s 100
11.6 s 100
11.4 s 100
11.2 s 100
11 s 100
10.8 s 100
10.6 s 100
10.4 s 100
10.2 s 100

10 S 1,000
9.9 S 1,000
9.8 S 1,000

ไหนบอกว่าซื้อของ dsm ต้องถูกกว่า ขาย ไง ???? ก็อย่างที่บอกเเล้วว่าที่ถามนั้นซื้อคืน อันนี้ซื้อเพิ่ม เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ??? ก็ที่ขายไปไว้ก่อนหน้านี้ไง
ถ้ามันขึ้นไปเรื่อยๆเงินจะพอเหรอ??? ลองไปเคี้ยวกระดาษดูว่ามันจะขึ้นไปได้กี่ช่องจนเงินไม่พอ โดยไม่ได้ใช้ กสงฝ

ที่นี้ถ้ามันตกที่ 12 ก็เริ่มกองหลังใหม่ ตอนนี้มีหุ้น 8,000 ดังนั้นเวลาขายก็ที่ละ 800 เป็นกองหลังใหม่ หลังการก็เหมือนเดิมเเต่อย่าลืมซื้อไม้เล็กที่ขายไว้ถ้าลงไปถึงจุดที่ต้อง ซื้อคืน


12 s 100 BUY 2,000
11.8 s 100 S 800
11.6 s 100 S 800
11.4 s 100 S 800
11.2 s 100
11 s 100
10.8 s 100
10.6 s 100
10.4 s 100
10.2 s 100

10 S 1,000
9.9 S 1,000
9.8 S 1,000

*** ตรงนี้อาจจะงง ถ้าดูหุ้นรวมที่ 11.4 หลังจากขาย กองหลังไม้ 3 ไปเเล้ว[กองละ800] มีหุ้นเหลือ 8,000-2,400= 5,600 8 หายไปอีกเเล้ว ถ้ามันขึ้น
ตรง 11.4 ไปเรื่อยๆอีก ผมจะซื้อเพิ่มที่ 12 อีก 2,400 [งงไหม :) ) เพื่อให้ 8 กลับมา

12 s 100 B 2,000 B 2,400 หุ้นเหลือรวม 8,000
11.8 s 100 S 800
11.6 s 100 S 800
11.4 s 100 S 800
11.2 s 100
11 s 100
10.8 s 100
10.6 s 100
10.4 s 100
10.2 s 100

10 S 1,000
9.9 S 1,000
9.8 S 1,000

ที่เหลือก็ทำเหมือนเดิมไปเรื่อยๆจะออกมาเป็นรุปเเบบนี้


13.8 B 2,4000 B 1,000 s 100
13.6 S 800 s 100
13.4 S 800 s 100
13.2 S 800 s 100
13 s 100
12.8 s 100
12.6 s 100
12.4 s 100
12.2 s 100
12 s 100 B 2,000 B 2,400 s 100
11.8 s 100 S 800
11.6 s 100 S 800
11.4 s 100 S 800
11.2 s 100
11 s 100
10.8 s 100
10.6 s 100
10.4 s 100
10.2 s 100

10 S 1,000
9.9 S 1,000
9.8 S 1,000

เราจะมี 8 อยู่ที่ยอดตลอดเวลาในขาขึ้น

3-0-2-8
3-0-2-8
3-0-2-8
3-0-2-8
3-0-2-8

เเละถ้ามี กสงฝ เหลือพอก็ซื้อเพิ่ม เพื่อเพิ่มส่วน 8 ให้เยอะขึ้น ไม่เหมือนซื้อเพิ่ม[ผมเรียกว่าซื้อเติม]ที่เอาเงินส่วนที่ขายไปเเล้วมาซื้อ เพื่อเติมให้ครบ 8

ผมว่า DSM มันเป็นทั้งศาสตร์เเละศิลป์ มีส่วนที่เป็นวิชา เเละส่วนที่เเต่ละคน จะปรับปรุง เปลี่ยนเเปลงให้เข้ากับตัวเอง ส่วนวิชาสำหรับผมมีอย่างเดียว
คือ "ซื้อให้ถูกกว่าขาย" [ไม่เหมือนขายเเพงกว่าซื้อ]
ส่วนศิลป์คือการที่เรา
สามารถปรับรูปเเบบได้มากมายหลากหลาย ดังที่มีเพื่อนๆพี่ๆเสนอรูปเเบบ
การเทรด DSM หลายหลากเเบบ ที่เป็นเเบบนี้ผมว่าเกิดจากการที่ คุณเด่นศรีตอบคำถามด้วยคำถามให้เราได้คิด ไม่บอกรูปเเบบในการเทรดที่ชัดเจน มาเลยบอกเเค่โครงร่าง ทำให้เกิดการต่อยอด ขอบคุณนะครับคุณเด่นศรี


11. google     [118.172.176.233]     09 Nov 2010 - 14:00
รายละเอียด เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นระบบ DSM มีอีกไหม

มีครับ อ่านที่นี่ได้เลย ของแท้ดั้งเดิม ยังไม่ได้ประยุกต์ใดๆทั้งสิ้น

http://7meditation.blogspot.com/2010/10/dsm-concept.html

12. google     [118.172.176.233]     09 Nov 2010 - 22:14
การศึกษาซื้อขายหุ้น ระบบ KZM

ให้อ่านที่นี่ก่อน

1. เริ่มต้นด้วยแนวคิดกระทู้แรก

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/08/I6908867/I6908867.html

2. เทรดจริง

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/11/I7181375/I7181375.html

13. ระบบfats     [118.172.186.53]     10 Nov 2010 - 18:46
การศึกษาซื้อขายหุ้น ระบบ FATS

ให้อ่านที่นี่ก่อน

http://fatsrevolution.wordpress.com/page/2/?archives-list&archives-type=cats

14. rev     [125.24.5.52]     11 Nov 2010 - 16:19
เล่นหุ้นสู้ซื้อที่ดินไม่ได้ หุ้นมีวัฏจักร แต่ที่ดินก็คือที่ดิน AIG ที่เจ๊งก็เพราะหุ้นนี่แหละ

15. ลองทำนาย => เว็บมาสเตอ     [115.87.145.163]     12 Nov 2010 - 13:36
สวัสดีครับ

คุณเว็บมาสเตอร์ครับ รบกวนเข้ามาตรวจสอบกระทู้นี้หน่อยครับ มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์(ตรงไหน)หรือไม่ครับ

หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจมาเยอะกว่านี้ครับ(เพราะเค้าจะคิดว่ามาโพสต์ได้)

16. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 21:24
โหราศาสตร์ กับหุ้นไทย: ดร.เจษฎา โลหอุ่นจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ยูเรเนียน

Posted on Saturday, January 09, 2010
พบการทำนายภาวะหุ้นไทยปี 2553 ตามแนวโหราศาสตร์ จากดร.เจษฎา โลหอุ่นจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ยูเรเนียน นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และอดีตผู้บริหารบลจ. เอ็มเอฟซี ภายใต้แนวคิดที่ว่า
"ดวงชะตาไม่ใช่ฟ้าลิขิต 100% ขึ้นอยู่กับคนเราด้วยว่าทำอะไรไว้"


17. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 21:30
วันอังคาร ที่ 9 พฤศจิกายน 2553
โหราศาสตร์: หุ้นไทยขึ้นเกิน 1000 จุด แรงสุดในรอบ 14 ปี พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
Posted by อธิ , ผู้อ่าน : 49 , 07:05:40 น.
อ่านตรงนี้ http://www.oknation.net/blog/as711/2010/11/09/entry-1

18. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 21:40
จันทร์จรให้โชคดีเมื่อไร

เมื่อไรโชคดี= รับเงิน
เมื่อไรโชคไม่ดี= จ่ายเงิน

ให้ดูดาว จันทร์
ที่จรตามปฏิทินโหราศาสตร์ไทย(ของ พอ. สุชาติ ศุภประเสริฐ หรือของใครก็ได้)
โคจรอยู่ราศีอะไร เป็นอริ มรณะ วินาส แก่ลัคนาเราหรือไม่
ถ้าอยู่เป็น อริ มรณะ วินาศ มีโอกาสจ่ายเงิน
ถ้าอยู่ เป็นโยคหน้า(สหัชชะ) โยคหลัง(ลาภะ) ตรีโกณ(ร่วมธาตุ-ปุตตะ,ศุภะ) เล็ง(ปัตนิ) มีโอกาส รับเงิน
แต่ยังไม่แน่นอน
ต้องดูว่าไม่เกาะลูกนวางค์เจ้าเรือน อริ มรณะ วินาศ ด้วย
และถ้า เกาะลูกนวางค์เจ้าเรือนสห้ชชะ ปุตตะ ปัตนิ ศุภะ ลาภะ รับเงินแน่นอน
วันนี้ 19 พย.52
ลัคนราศีสิงห์ ดาวจันทร์โคจรตามปฏิทิน อยู่ที่ราศีพิจิกภพพันธุ แต่ตกนวางค์เจ้าเรือนมรณะที่ราศีมีน ผล ไม่มีเงินเข้าเลย เงียบจริงๆ
ต่างกับวันที่ 18 พย. 52
ดาวจันทร์โคจรอยู่ที่ราศีพิจิกภพพันธุ แต่ตกนวางค์เจ้าเรือนพันธุที่ราศีพิจิก ผลรับเงินเป็นจำนวนเกินความคาดหมาย


19. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 22:10
ดวงชะตาคนเล่นหุ้นได้คือ
พื้นชาตา
1.ดาวเจ้าเรือนกดุมพะ ไม่เป็น นิจ ประ กาลี ไม่กุมดาวกาลี ไม่กุมดาว อริ มรณะ วินาศ ไม่อยู่ที่ภพ อริ มรณะ วินาศ

2.ที่ภพกดุมพะ ไม่มีดาวเจ้าเรือน อริ มรณะ วินาส ดาวกาลี ดาวได้ตำแหน่ง นิจ ประ มาอยู่

ดูจรปัจจุบัน
1.ดาวเจ้าเรือนกดุมพะ ไม่โคจรไปอยู่ในตำแหน่งราศีที่เป็น นิจ ประ ทักษาจรไม่เป็นกาลี ไม่กุมดาวกาลีจร ไม่กุมดาวเจ้าเรือน อริ มรณะ วินาศ ไม่โคจรอยู่ภพอริ มรณะ วินาศ
2.ที่ภพกดุมพะ ปัจจุบัน ไม่มีดาวเจ้าเรือน อริ มรณะ วินาส ดาวกาลีจร ดาวได้ตำแหน่ง นิจ ประ โคจรมาอยู่


20. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 22:17
ทำไมจำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้

เทคนิคซื้อหุ้น

อย่าใจร้อน อย่าอยากได้หุ้น รอประเดี๋ยว หายใจลึกๆยาวๆ เป็นสมาธิ
ดูหุ้นที่จะซื้อ
1.ตรวจดูกราฟแท่งเทียน เส้นค่าเฉลี่ย 4 สี 4 เส้น
ถ้าซื้อได้ราคาต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันสีขาว 25วันสีฟ้า 75วันสีม่วง 200วันสีแสด นับว่าดีเลิศ เพราะซื้อของได้ถูกไงล่ะ
2.ดูวอลลุ่มด้วยว่ามีมากไหม ถ้าน้อยดัชนีแคบด้วยไม่หวือหวา ทำกำไรไม่มันส์ค่อยๆ ใจเย็นๆ ไม่ต้องอยากจะได้หุ้น
3.คลิกเลื่อนดูประว้ติหุ้นแต่ละตัวไปเรื่อยๆ วอลลุ่มบางตอน จะบ่งบอกว่า มีการเก็บหุ้น เก็บๆๆๆๆ จนแห้งๆๆๆครบคุณสมบัติ ให้ตัดสินใจซื้อเลย


เทคนิคขายหุ้นในแต่ละวัน(เมื่อหุ้นขาขึ้น)

หลังจากที่เจ้ามือหรือเจ้าของ เก็บหุ้นราคาถูกๆ จนแห้ง เขาก็เริ่มปั่นขึ้น
ตอนนี้แหละสำคัญว่าเราจะขายหุ้นอย่างไร

1.รวยด้วยการเล่นสั้น short against port เมื่อได้ ซื้อหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 สี 4 เส้น เก็บไว้แล้ว นำมาเล่นสั้นในทุกวัน ด้วยเทคนิค บันไดขึ้นลง 3 ขั้น
2.ในแต่ละวัน อย่าผลีผลาม ดูความเคลื่อนไหวของหุ้นด้วยสมาธิ เมื่อหุ้นขึ้นจนเป็นบันไดขึ้น 3 ขั้นหรือเขาที่ 3 ให้ขายตรงนั้น !!!!!
3.แล้วรอซื้อกลับ เมื่อหุ้นลงมาเป็นบันไดลง ขั้นที่ 1,2หรือ3ยิ่งดี
4.อย่าให้หุ้นหลุดมือเป็นอันขาด เผื่อเหนียวให้ซื้อคืนตอนปิด


21. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 22:20
จับชีพจรหุ้น ขึ้นหรือลง ด้วยดาววันเกิดจร
ตามหลักวิชาของ พ.อ.พิเศษ เอื้อน มณเฑียรทอง

สิ่งมห้ศจรรย์ยิ่งที่วิชาโหราศาสตร์ไทยโบราณนำมาใช้ในการทำนาย นั่นคือ
การใช้ดาววันเกิดจร
หุ้นเข้าตลาดวันใด วันนั้นคือดาววันเกิดจรของหุ้นตัวนั้น
เวลาตกฟากของหุ้นตัวนั้น(ใช้ผูกดวง)คือเวลาเปิดทำการของตลาดหุ้นวันนั้น
สมัยแรกๆ ตลาดหุ้นเมืองไทยเริ่มเมื่อ 9.00 น
ปัจจุบันเริ่มเมื่อ10.00 น.ของแต่ละวัน ตรงนี้ตัองดูเวลาให้ดีๆว่าเป็นเวลาอะไรกันแน่
ไม่ต้องรอเฉลย เพราะดูกราฟ ย้อนหลังได้อยู่แล้ว

22. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 22:27
หมดตัวเพราะหุ้น
(หมอดูลายมือ อ.เบญจะ)

ความโลภของคนเรา ไม่มีวันสิ้นสุด ได้คืบจะเอาศอก มีร้อยจะเอาพัน
นี่คือนิสัยสันดานของมนุษย์เรา
การเล่นหุ้นผมถือว่า เป็นการพนันชนิดหนึ่ง ใครจะมองว่าเป็นเรื่อของการค้าธุรกิจก็มองไป บางคนเล่นได้ บางคนก็เสียหาย และก่อนที่จะมีการลดค่าเงินบาทในปี 2540 เรื่องของหุ้นนั้นได้บูมอย่างสุด ๆ นิยมกันไปทั่วทุกหัวระแหง แต่มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ของครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า
ทุกอย่างที่ได้มาง่าย ก็จะจากไปอย่างง่าย ๆ เช่น กัน
ขอทุกท่านจงจำไว้
ลายมือของผู้หญิงท่านนี้ เป็นคนชอบเล่นหุ้นทั้ง ๆ ที่มีธุรกิจค้าขายใหญ่โต แต่ละวันก็มีกำไรมากอยู่แล้ว แต่อยากรวยทางลัด ก็เข้าไปเล่นหุ้นตามสมัยนิยมกับเขา ผลสุดท้ายก็ร้องให้โทรมาบอกว่า
อยากตาย อยากตาย !? จะทำอย่างไรดี

เถ้าแก่เนี้ยรายนี้มาดูหมดเมื่ออายุ 50 ปี มีธุรกิจค้าขายใหญ่โต คู่ครองก็ทำมาค้าขายตั้งบริษัทอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า ช่วยกันทำมาหากิน จนร่ำรวยมีเงินทองมากมาย
มาครั้งที่ 2 มาถามว่า จะเล่นหุ้นได้ไหม? เล่นแล้วจะกำไรหรือเปล่า? ผมก็บอกเขาไปว่า เล่นหุ้นนั้นเป็นการพนันนะ ไม่ใช่ค้าขายนะ มันไม่เหมาะกับเส้นลายมือของคุณ ห้ามเด็ดขาด ยิ่งเล่นยิ่งขาดทุนเสียหาย ขอให้เชื่อเถิดครับ เสียดายเงินเปล่า ๆ

มาครั้งที่ 3 มาถามเรื่องหุ้นอีก เพราะมันมีทั้งได้บ้าง เสียบ้าง แต่ผมได้ดูเครื่องหมายแล้ว มันเป็นรูปเกาะใหญ่ขึ้นชัดมากขึ้นกว่าเดิม
จึงห้ามอย่างดุ ๆ ว่า คราวนี้ถ้าเล่นอีก จะเสียหายหมดถึง 80% ของทรัพย์สินที่มีอยู่ จำให้ดีนะ เครื่องหมายเสียเงินทองมันดูง่าย ไม่ต้องใช้แว่นขยายก็ยังเห็นได้ชัดเลย หลังจากนั้นเขาไม่มาแวะหาแล้ว แต่ใช้โทรศัพท์ถามเอา ผมก็ยังเตือนแบบเก่า ครั้งสุดท้ายเลย
เขาบอกว่าอยากตาย อยากตาย !? เงินทองเสียหายหมดแล้ว หมดไปทั้งสิ้น ร้อยกว่าล้าน !!
เครื่องหมายที่เสียหายจนหมดตัว ให้ดูที่เส้นวาสนาในมือขวา เป็นเส้นวาสนาที่เดินผิดปกติ คือเดินโค้งไปโค้งมา บิดไป ไม่เดินเป็นเส้นตรงตามธรรมชาติ จึงถือว่าเป็นเส้นที่ต้องระวังในการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้น และพอเดินมาถึงใต้เส้นใจ ก็เกิดเป็นรูปเกาะ
เส้นวาสนาที่เป็นรูปเกาะในลักษณะนี้ เป็นการเตือนถึง การตัดสินใจที่จะผิดพลาดได้ จนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ของเครื่องหมายลายมือ ทีนี้ให้มาดูเครื่องหมายที่ทำให้หมดตัว คือ
เส้นวาสนาที่เป็นรูปเกาะใหญ่ที่บนเนินเสาร์ จะเห็นว่ามีเกาะถึง 3 เกาะ ด้วยกัน!! แล้วทรัพย์สินเงินทองมันจะเหลือหรือ มีถึง 3 เกาะใหญ่ขนาดนั้น เห็นรูปเกาะลักษณะนี้ ก็ยังเสียวแทน แต่ความโลภของคนเรา ไม่มีใครหยุดได้ อยากได้จึงต้องสูญเสียไป มือของคนโชคร้ายรายนี้ เป็นมือที่หนาเนินเต็ม โดยเฉพาะเนินศุกร์ มีเนื้อเนินที่เต็มจนเกินไป คนที่มีเนินลักษณะนี้ ถ้าพูดถึงความโลภ อยากได้แล้ว จะมีมาก ๆ มากกว่าฝ่ามือที่บาง

เครื่องหมายที่แสดงถึงการเสียหาย เพราะเข้าไปเล่นหุ้นนี้
ขอกรุณาจงช่วยบอกต่อด้วย เพราะสงสารและเสียดายเงินทองที่ต้องสูญ ผมบอกคนเดียวมันไม่ทันหรอก
เพราะคนเล่นหุ้น เล่นการพนันนั้น มันมีมากมาย มากกว่าหมอดู เป็นร้อยเท่าพันเท่า ในช่วงต้นกรกฎาที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นไทยได้ ร้อนแรง คึกคัก บูมอย่างสุดๆ มีการซื้อขายกันมากถึง หมื่นๆล้าน ลบสถิติที่ผ่านมาในรอบปี พวกนักเล่นหุ้น ต่างดีใจคึกคัก เหมือนปลาได้น้ำใหม่ และเหตุที่ผิดปรกตินี้ ทำเอาผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ได้วิพากษ์วิจารณ์กันไปหลายวัน เพราะต่างแปลกใจและตื่นเต้นเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญทางตลาดหุ้น ก็พูดไปแนวหนึ่ง ทางดอกเตอร์อาจารย์ที่สอน อยู่ตามมหาวิทยาลัยฯ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ตามที่ตัวเองถนัด เรียกว่าต่างมีความรู้อะไร ก็โชว์ออกในช่วงนี้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งอาจารย์ วีระ ธีรภัทร ของ คมชัดลึก ได้เขียนว่า ฟองสบู่ตลาดหุ้น เขียนถึง 4 วัน ต่างคาดเดาไปตามๆกัน ว่า ตลาดหุ้นไทย จะซื้อขายกันไปแบบนี้อีกนานเท่าไร จะเป็นฟองสบู่หรือ ลูกโป่ง ซึ่งแน่นอนผลสรุปที่ออกมา ย่อมไปกันคนละทิศละทาง
เพราะนั่นเป็นความคิดเห็นของแต่ละท่าน ย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ตลาดการค้าขายนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าใด ไม่สามารถกำหนดได้ และไม่มีใครสามารถบังคับมันได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นฯ แล้วตลาดหุ้นไทย หรือที่ใดในโลกก็ดี ใครเล่าจะสามารถพูดว่า เดือนหน้า ตลาดหุ้นจะบูมเท่าไร หรือร่วงหล่นติดพื้นแดงกระดาน!! รับรองไม่มี ผู้ที่จะรู้เรื่องนี้ได้ ไม่ใช่ทั้งดอกเตอร์ศาสดาจารย์ และนักโหราศาสตร์หรอกครับ ต้องโน่น พระที่ทรงศิลปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
จนได้ อนาตังสญาณครับ จึงสามารถล่วงรู้อนาคตได้ อย่างไม่ผิดพลาด และเป็นการง่ายมากสำหรับท่านฯ ง่ายดังพลิกฝ่ามือ
อย่างพวกเราก็แค่วิพากษ์วิจารณ์ ไปตามเหตุการณ์ของบ้านเมือง ให้มันมีสีสัน คึกคักไปตามข่าวเท่านั้นเอง เรียกว่า อาเจกตื่นไฟ คนไทยตื่นหุ้น
การเล่นหุ้นผมถือว่า เป็นการพนันชนิดหนึ่ง ใครจะมองว่าเป็นเรื่อของการค้าธุรกิจก็มองไป บางคนเล่นได้ บางคนก็เสียหาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังเช่นคนที่เคยเสียหุ่นเจ๊งหมดตัวในสมัยทรัสท์ล้ม ตอนนี้คนนั้นก็ยังหมดตัวยากจน จนผมขาวยังอยู่เช่นเดิม แต่บางคนที่เคยล้มเจ๊ง ตอนนี้กลับมีเงินทองใช้สอยบ้าง ในเมื่อเราไม่สามารถคาดการณ์ว่าหุ้นตัวใดจะขึ้น ตัวไหนจะจอด และยังไม่สามารถจะฝากความหวังกับนักวิเคราะห์ต่างๆแล้ว
แล้วจะพึ่งพาใครในเรื่องนี้ ยังมีครับ ยังมีนั่นคือ เส้นสายในลายมือของคนเรานั่นเอง
วิชาหัตถศาสตร์ จะบอกเรื่องราวต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของผู้คนได้อย่างน่าทึ่ง น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เส้นและเครื่องหมายต่างๆบนฝ่ามือ จะขึ้นมาเตือนบอกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เรากระทำอยู่และที่คิดว่ากำลังจะทำ ว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้น จะสำเร็จหรือไม่ บางเรื่องเครื่องหมายได้ขึ้นมาเตือนล่วงหน้า เป็นปีๆก็มี
ความสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะอ่านรหัสมันออกหรือไม่ ? และที่สำคัญ ก่อนที่จะเล่นหุ้นฯ หรือลงทุนทำธุรกิจ คุณได้ตรวจลายมือคุณแล้วหรือยัง

ได้บอกวิธีการเล่นหุ้นอย่างไรจึงได้กำไร และเล่นแบบไหนจึงหมดตัว เครื่องหมายหมดตัว ในวิชาหัตถศาสตร์ มีเครื่องหมายชนิดหนึ่ง
มีชื่อว่า รูปเกาะ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่เสียหายมาก ถ้าขึ้นอยู่ในมือใครแล้ว ถือว่าคนนั้น โชคร้าย จะมีเคราะห์ เรียกว่า ตอนนั้น จะดวงตก ซวยมาก

รูปเกาะมีลักษณะแตกต่างกันไป มีทั้งเล็กและใหญ่ ถ้าเป็นรูปเกาะใหญ่มากก็จะเสียหายมาก ถ้าเล็กก็เสียหายเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงและยาวนาน รูปเกาะเมื่อเกิดขึ้นที่เนินใดและเส้นใดก็ตาม เนินนั้น เส้นนั้นก็จะเสียหาย มีปัญหาทันที ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรที่จะต้องเสียหายนั้น ให้เอาความหมายของเนินนั้นเส้นนั้นทำนายไป เรื่องความหมายของเนินและเส้นต่างๆนั้น
ได้เขียนไปแล้วในตอนต้นๆแล้ว ใครจำไม่ได้ก็เปิดดูเอา แต่ในวันนี้จะกล่าวถึงการเล่นหุ้น

เนินที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง คือเนินเสาร์ที่อยู่ใต้นิ้วกลาง ส่วนเส้นที่ที่บ่งบอกถึงเรื่องนี้คือเส้นวาสนา ถ้าเนินเสาร์ของใครก็ตาม ได้มีรูปเกาะเกิดขึ้นเมื่อไร ก็จะเกิดการเสียหายในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง เช่น
ถ้าบุคคลนั้นเอาเงินทองไป เล่นหุ้น ก็จะเสียหายขาดทุน อย่างแน่นอน 100% ตอนนี้เป็นตอนที่สำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่นหุ้น หรือชอบการพนันขันต่อทั้งหลาย
ให้ดูเครื่องหมายเกาะที่เนินเสาร์ให้ดี ด้วยการใช้แว่นขยายส่องดูจะได้เห็นชัดขึ้น เพราะเครื่องหมายมันเล็ก ขนาดเมล็ดข้าวสาร ขนาดใหญ่ก็เม็ดข้าวเม่า ถ้าเกิดมีรูปเกาะอยู่ที่บริเวณเนินเสาร์ตรงใต้นิ้วกลางแล้ว บ่งถึงบุคคลนั้นจะเสียหุ้น เสียการพนัน หรือถูกหวยกินหมด คือจะไปเล่นอะไรก็จะเสียเงินเสียทอง ยิ่งเล่นมาก ก็ยิ่งหมดมาก
รูปเกาะนี้จะอยู่ที่ข้างซ้ายหรือขวาของเส้น วาสนาก็ตาม ก็จะเสียหายเช่นกัน ยิ่งถ้าเส้นอาทิตย์ตรงใต้นิ้วนางเป็นเกาะแล้ว ก็ยิ่งเสียหายมากขึ้น
เพราะจะบ่งถึงการเสียเกียรติเสียชื่อเสียง เรียกว่าเสียทั้งเงินเสียทั้งเกียรติ บางคนเอาเงินของการค้าไปเล่นจนเจ๊ง ต้องปิดกิจการหนีหายไป บางคนที่เป็นผู้หญิง เล่นจนเงินหมด ก็ขายตัวที่บ่อนนั่นเลย จึงเรียกว่าเสียทั้งเงินเสียทั้งเกียรติ เครื่องหมายรูปเกาะที่เกิดขึ้นทั้งเนินอาทิตย์และเนินเสาร์ ได้เห็นมามากต่อมาก
จึงขอเตือนท่านที่มีเครื่องหมายนี้ จงหยุดเล่น เลิกทันที ก่อนที่จะล่มจมจนหมดตัว
และขอเรียนท่านหมอดูนักพยากรณ์ที่กำลังศึกษา หรือที่จะเริ่มดูหมอเอาเงินผู้อื่นนั้น ให้ใช้บทนี้ในการทำนาย ในเรื่องการสูญเสียทรัพย์สิน จากการเล่นหุ้นเข้าบ่อน
ถ้าใครมีรูปเกาะตัวร้ายนี้ ให้ทายไปเลย ว่าจะเสียหายหมดตัว
ไม่ว่าเขาจะใส่สูทนั่งรถเบนซ์มาก็ตาม
ถ้าคุณทำนายเขาไป ถือว่า คุณได้สร้างบุญสร้างกุศล
ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ เป็นเรื่องของเขา เรียกว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
แต่เมื่อเขาพลาดท่าเสียเงินเสียทองแล้ว เขาก็จะนึกถึงคุณ
เรื่องนี้ได้พบเห็นมามาก ตอนยังไม่หมดตัว ก็ไม่เชื่อ แต่พอหมดตัวแล้ว มานั่งร้องให้ ถามผมว่า ตอนนี้จะทำยังไง แบบนี้มีเยอะครับ

เคล็ดลับการดูถึงเรื่องเสียหุ้นจนหมดตัว
ยังไม่มีตำราในเมืองไทยเล่มใดได้กล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นตำราที่เขียนขึ้นจากครูบาอาจารย์เอง หรือที่ได้แปลจากเมืองนอกก็ตาม ยังไม่มีครับ ที่ผมมาบอกให้รู้กันนั้น
เพื่อท่านและนักพยากรณ์ทั้งหลาย จะได้ช่วยกันบอกต่อ
เพราะจะให้ผมบอกหรือสอนคนเดียวมันไม่ทั่วถึงหรอกครับ
สงสารผู้อื่นที่ต้องเสียเงินเสียทอง บางคนหมดตัว แล้วไม่มีทางออก ได้ฆ่าตัวตายก็มีมากรายมาแล้ว

ส่วนคนที่เล่นหุ้นได้เข้าบ่อนชนะ จะต้องมีเครื่องหมายดังนี้

ที่เนินอาทิตย์และเนินเสาร์ จะต้องมีเส้นตั้งตรงสวยงาม หรือมีเส้นอาทิตย์และเส้นวาสนาที่ยาวสวย และปราศจากเส้นอื่นมาตัดขวาง
บุคคลใดก็ตามถ้ามีเส้นลักษณะนี้ ก็สามารถเข้าบ่อนเล่นการพนันได้ และถ้าจะได้เงินมากๆ หรือมีโชคใหญ่ได้เป็นแสนเป็นล้านๆ แล้ว
จะต้องมีไฝแดงขึ้นที่เนินอาทิตย์และที่เนินอังคารนอก
ถ้ามีลักษณะนี้แล้ว คนๆนั้นจะมีโชคได้ลาภใหญ่โต ถึงแม้บุคคลนั้น
จะไม่เคยเล่นการพนันก็ตาม ก็จะต้องได้เงินได้ทองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อย่างแน่นอน หรือผู้ที่จะถูกรางวัลที่ ๑ ได้เงินถึง ๖ ล้าน ในมือของเขาได้มีไฝแดงขึ้นที่ ๒ เนินนี้ครับ ซึ่งคนที่โชคดีนี้ เป็นคนข้างบ้านของผมเอง

สรุปแล้วคนที่จะเล่นหุ้นเข้าบ่อนได้กำไร ต้องมีเส้นอาทิตย์และเส้นวาสนาที่ยาวสวย ส่วนคนที่มีรูปเกาะ จะเสียหายจนหมดตัวได้


23. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 22:31
หลักวิชาทั้งดูจากดวงชาตาและลายมือนั้น
สุดยอดของการทำนาย คำถาม ว่า "เล่นหุ้นจะได้ไหม"
หวังว่าคงมีประโยชน์กับมิตรสหาย คนชิดใกล้
ดูเรื่อยๆใช้บ่อยๆ จะเก่งและได้บุญจากการบอก การทำนายของเรา

24. google     [113.53.208.70]     12 Nov 2010 - 22:45
การเรียนวิชาเล่นหุ้นของครูเฒ่าเล่นได้ทุกตัวทุกแบบ

คุณคานจ๋า...วิชาของครูเฒ่าเล่นได้ทุกตัวทุกแบบ มันใช้หลักการเดียวกันหมดเลย
อยู่ที่ระยะเวลาที่เราจะเล่น จะเล่นแบบระยะสั้น หรือระยะกลาง หรือระยะยาว

ในพอร์ทครูเฒ่าจะมีหุ้นทุกแบบ หุ้นที่เล่นสั้น ครูเฒ่าก็หากะตังกะมันได้ทุกวัน
หุ้นระยะกลาง ครูเฒ่าก็จะรอจังหวะของมัน ช่วงไหนมันเงียบๆ เจ้ามือเก็บของอยู่ ครูเฒ่าก็แอบเก็บไปกะเจ้ามือด้วย จนถึงรอบของมันก็จะทำเงินได้ (ช่วงแอบเก็บของไปกะเจ้ามือ บางทีก็เอามาชอททำกะตังได้เรื่อยๆ)
ส่วนหุ้นระยะยาว จะคล้ายหุ้นระยะกลาง แต่ถือยาวกว่า เอามาเล่นชอทนิดหน่อยแต่ไม่มาก จะรอรอบใหญ่ๆของมันไปเลย ตรงนี้ต้องขึ้นกับแต่ละคนว่ามีเวลาเฝ้าหุ้นขนาดไหนด้วยนะคุณคาน อย่างครูเฒ่ามีเวลาเฝ้าหุ้นทุกวัน รู้นิสัยหุ้นแต่ละตัวจนชินตาชินใจ บางทีมองปร๊าดเดียวก็รู้แล้วว่าวันนี้หุ้นตัวนี้จะเล่นหรือไม่เล่น หุ้นตัวนี้จะถึงรอบของมันรึยัง
แล้วที่สำคัญ..ครูเฒ่าจะแบ่งซื้อขายหุ้นเป็น 3 ทัพเสมอ ถึงแม้จะขายหมูบ้างแต่ก็ได้กำไรมาเยอะแล้ว ถ้าซื้อแล้วหุ้นลง ก็มีเงินสำรองมาดักเก็บตรงที่ต่ำๆได้อีก เรียกว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลง ครูเฒ่าก็สบายใจ ซื้อขายหุ้นอย่างมีความสุข ไม่เครียดกะมันเลย

ครูเฒ่าใช้วิชาง่ายๆ แค่ดูกราฟ 3 เขา 3 เหว
ดูเส้นสี่สีสี่เส้น ดูค่า MACD
ระหว่างวัน..จะคลิกดูกราฟเซททุกครึ่งชั่วโมงว่าแนวโน้มวันนี้จะเป็นยังไง
คลิกดูกราฟหุ้นตัวนั้นในระหว่างวันว่าเป็นยังไง
ดูเปอเซนต์ buy sell ในวันนั้น
ดู transaction ของหุ้นในวันนั้น

ดูแค่นี้เองจริงๆ แต่ครูเฒ่าดูจนคล่อง ดูจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาพเกิดในสมองได้ทันทีที่เห็นหุ้น
อ่านตลาด อ่านแนวโน้มของมันออกได้ทันที แล้วตัดสินใจซื้อขายตามที่อ่านโชะเชะ ไม่ลังเล
มีบ้างเหมือนกันที่มองตลาดผิด อ่านเกมผิด แต่ก็ไม่เดือดร้อน แก้เกมไปตามเสต็ปไปตามระบบเหมือนเดิม
กำไรเท่าที่พอใจแล้ว ก็ขาย ขาดทุนติดหุ้น ก็เล่นชอทกะมัน จนพลิกฟื้นเป็นกำไร
วิชาของครูเฒ่าดูเหมือนธรรมด๊าธรรมดา แต่เพราะความธรรมดานี่แหละที่ทำให้ได้กะตัง

25. ทิดเกิ้ล     [113.53.208.112]     13 Nov 2010 - 12:11
วิธีการซื้อหุ้น

ซื้อหุ้นที่ไม่มีการขาดทุน 100%คือ

1.ซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี(เช่นหุ้นธนาคาร/ktb)มีค่า พีบี,พีอี ต่ำ ปันผลมี%สูงกว่าดอกเบี้ยฝากธนาคาร
2.ราคาที่ซื้อต้องเป็น ช่วงมหภาคเหวที่ 3
3.แล้วรอไปขายที่ ช่วงมหภาคเขาที่ 3

ถ้าเล่นแบบนี้จะไม่เครียด ไม่กังวลใจ ลงทุนในหุ้นได้อย่างสบายใจ ปลอดภัย ทำกำไรได้ค่ะ

26. ทิดเกิ้ล     [113.53.208.112]     13 Nov 2010 - 12:15
การซื้อหุ้น เพื่อการลงทุนในระยะกลาง ระยะยาว

เมื่อภาวะหุ้นอยู่ในช่วงมหภาคเหวที่ 3
(กราฟเส้นเรียงจากบนมาล่าง ส้ม ม่วง ฟ้า ขาว)

ให้ดูกราฟมหภาคที่เป็นเหวที่ 3 ช่วงที่เรียกว่า จุดตัดทองคำ

คือ ดูได้จากกราฟ เส้นสีขาว10วัน ตัดเส้นกราฟสีฟ้า25วัน แล้วกระดกขึ้นเหนือเส้นกราฟ 75 วันสีม่วง และเส้น 200 วันสีส้มหรือแสด และพากันเคลื่อนเป็นเส้นขนานชี้ฟ้าขึ้นไป

การตัดสินใจซื้อหุ้นราคาต่ำสุด คือซื้อตรงที่เส้น10วัน(สีขาว) ตัดเส้น 25 วัน(สีฟ้า) แล้วกำลังจะกระดกขึ้นชี้ฟ้านั้น เป็นจุดที่ดีที่สุด ตัดสินใจซื้อตรงนี้แล้วเก็บไว้ขายตรงภาวะหุ้นอยู่ในช่วงมหภาคเขาที่ 3(รอไปประมาณ 4-6 เดือนยืดหยุ่นระหว่างนี้)

27. น้องเกิ้ล     [113.53.208.112]     13 Nov 2010 - 12:20
ใครจะเล่นหรือซื้อหุ้น ไม่ต้องเป็นแมงเม่าต้องทำดังนี้
1.ต้องเรียนรู้วิชา"เล่นหุ้นให้รวยทำอย่างไร" เขียนโดยครูเฒ่าเกาะช้าง มี10 เล่ม อ่านให้จบ 3 เที่ยว ก่อน อย่ารีบร้อนซื้อหุ้น อย่าอยากได้เงินจากการซื้อ-ขายหุ้นโดยที่ยังไม่มีความรู้ในการซื้อขายหุ้น
โดยเฉพาะเรื่อง เมื่อไร ราคาหุ้นต่ำสุดแล้ว เมื่อไร ราคาหุ้นขึ้นสูงสุดแล้ว
ถ้าตอบไม่ได้ตามหลักวิชาซื้อขายหุ้น อย่าเข้ามาซื้อขายเป็นอันขาด!!!!!!!!!
2.ผูกดวงชะตาของตน อ่านพื้นชะตาเรื่องฐานะการเงินให้ประจักษ์ก่อนว่าเล่นหุ้นได้หรือไม่
3.ผูกดวงตัวหุ้นที่จะซื้อเพื่อดูสถานภาพดีเลวประการใด ในระดีบ ปี เดือน วัน ยาม
ของหุ้นตัวนั้นๆ มีผู้ใช้ดาววันเกิดจร ดำเนินการ ใช้ได้ผลมาแล้ว กำลังหาสถิติเพื่อความมั่นใจอยู่

28. น้องเกิ้ล     [113.53.208.112]     13 Nov 2010 - 12:25
วิธีแบ่งเงินเข้าซื้อหุ้น
(อย่าซื้อเป็นก้อนใหญ่หมดพอร์ตเป็นอันขาด)

1. แบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน รอซื้อเมื่อหุ้นราคาลงมา ใต้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน รอจังหวะที่เส้นสีขาว 10วัน จะตัดเส้นสีฟ้า 25 วัน ปลายเส้นทำท่าชี้ขึ้นบน(แสดงว่าเส้นสีขาวอยู่ใต้เส้นสีฟ้า) นั่นคือเป็นการตัดเส้นแบบกระดกขึ้น ให้ซื้อด้วยเงินส่วนที่ 1

2.เมื่อหุ้นขึ้นไปเป็นรูปกราฟเขาที่ 1 แล้วหักลงมา ให้ซื้อ เพิ่มด้วยเงินส่วนที่ 2

3.เมื่อหุ้นขึ้นไปเขาที่ 2 แล้วหักลงมา ให้ซื้อเพิ่มด้วยเงินส่วนที่ 3

4.เมื่อซื้อครบแล้วให้ถือไว้รอขาย ที่ยอดเขาที่ 3

ถาม ทำไมไม่ซื้อที่เหวที่ 3 ด้วยเงินทั้งหมด 3 ส่วนเลย
ตอบ การซื้อต้องเผื่อเหนียว ราคาหุ้น อย่าไว้ใจว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ 3 เขา 3 เหว เราต้องเตรียมทีหนีทีไล่ให้พร้อม จึงจะเล่นหุ้นไม่เจ๊ง
อย่าโลภ!!!!!!!

29. ทายหุ้น     [113.53.208.112]     13 Nov 2010 - 12:36
การจับชีพจรตัวหุ้นด้วยดาววันเกิดจร

ดาววันเกิดจรที่ใช้
เป็นแค่จุดเริ่มต้นครับว่าหุ้นตัวไหนจะมีทิศทางไปไนทางใด
เพราะจับได้ถึงว่าวันนี้หุ้นตัวนี้จะมีแนวโน้มขึ้นหรือลง
และยามก็ยังกว้างเกินไปคือมีช่วงแต่ละช่วงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ซึ่งหุ้นนี่ เพียงแค่หนึ่งนาทีราคาสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้หลายราคาแล้ว
จึงพยายามเสาะหาหลักวิชาที่จะสามารถหาให้แคบลงไปเป็นนาทีเป็นวินาที
ซึ่งที่ผมเจอก็คือทวาทศางศ์ ซึ่งสามารถคำนวณได้เป็นวินาที
ก็กำลังหาคำตอบอยู่เหมือนกันว่าเค้าใช้กันอย่างไรน่ะครับ
ส่วนหุ้นที่ผมเล่นและได้กำไรจะยกตัวอย่างให้ดูคือ
PATKL หุ้นตัวนี้เกิดวันที่ 31 มีนาคม 2535 เวลา 10.00 น. กรุงเทพมหานคร
ปีนี้หุ้นตัวนี้มีอายุ 18 ปี
ในปีนี้ดาววันเกิดจรตกกดุมพะ แสดงว่า โอกาสที่หุ้นตัวนี้จะทำกำไรมีสูงเพราะตกในเรือนที่ดี และดาวเจ้าเรือนไปอยู่กับดาววันเกิดเรือนกัมมะด้วย
ในเดือนนี้ ดาววันเกิดจรตกศุภะ และเป็นมหาอุจจ์ด้วยและเจ้าเรือนเป็นเกษตร แสดงว่าเกิดแน่นอน ดังนั้น เดือนนี้ จึงมีโอกาสสูงมากที่หุ้นตัวนี้จะมีราคาที่สูงมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา
ส่วนวันจร วันที่ผมขาย ผมขายวันพุธ ก่อนไปหาอาจารย์ เพราะดาววันเกิดจรก็เข้าเรือนศุภะและเป็นอุจน์
ผมซื้อเมื่อตอนที่ราคามันอยู่ที่ 0.58 บาท ราคามันถูก ถ้าเราซื้อแสนหุ้นก็ใช้เงินแค่ 58,000 บาท
ถ้าหุ้นมันขึ้นไปแค่ .20 บาท ก็ทำเงินให้เราเกือบสองหมื่นบาทแล้วครับ ส่วนหุ้นตัวนี้ผมขายมันที่ราคา ต่ำไปหน่อย เพราะพอผมมาดูดวงของตลาดหุ้น
เห็นว่าตลาดหุ้นมันจะตกเลยรีบขาย เพราะวันที่ไปหาอาจารย์ดวงตลาดฯแย่วันนั้นหุ้นตกทั้งตลาดฯ ยกเว้น PATKL เพราะมันเข้ามหาอุจน์
และเมื่อวานมันเข้าเรือนลาภะ ทำให้ราคาของหุ้นตัวนี้พุ่งไปสูงสุดถึง 1 บาท นี่ถ้าผมเชื่อมั่นมากกว่านี้
คงได้กำไรมากกว่าที่ขายไปแน่นอน นี่เพราะคิดมากเกินไปเลยได้มาแค่นิดหน่อยครับ
อาจารย์สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.settrade.com
แล้วอาจารย์พิมพ์ รายชื่อหุ้นที่ผมบอก ตรงช่องว่างบนขวาที่บอกว่า ข้อมูลหลักทรัพย์
จากนั้นอาจารย์ก็เลือกข้อมูลย้อนหลัง จะเห็นว่าราคาของหุ้นเป็นไปตามที่ผมบอกครับ
แต่ว่า นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมใช้นะครับ
ยังมีอย่างอื่นประกอบอีกเช่นทักษาจร ซึ่งก็จะช่วยเรายืนยันว่าในวันนั้น ๆ เป็นอย่างไรครับ
ถ้าอาจารย์จะชี้แนะเรื่องการใช้ทวาทศางศ์ว่าใช้อย่างไร ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลยครับ
เพราะจะเป็นการต่อยอดว่าจะคำนวณเป็นรายนาทีได้อย่างไรครับ
เรื่องใช้ดาววันเกิดทำนายหุ้น อาจารย์อย่าเพิ่งบอกใครนะครับ
(ขออภัยจริงๆ ไม่อยากเห็นน้ำตาแมงเม่า ยอมเสียสัจจะเพื่อยังประโยชน์แก่คนหมู่มาก เอาไปทดลองดูว่าจริงหรือไม่)

30. น้องเกิ้ล     [113.53.208.112]     13 Nov 2010 - 13:26
เล่นหุ้นกับโหราศาสตร์

ถาม ..ถ้าจะดูภาวะหุ้น ตัวนั้น ขึ้นหรือลงเป็นนาที(เป็นกราฟ)เพื่อจะเทียบว่าดาววันเกิดจร จรไปที่ลิบดาที่บอกว่าดี(ตามฉัฎฐิอังสะ)
ชีพจรหุ้นตัวนั้นขึ้นจริงหรือไม่ ไปดูที่เวบอะไร คลิ๊กตรงไหน

ตอบ การดูเป็นกราฟนั้น ผมดูจากบัญชีที่ผมเปิดไว้กับBroker ซึ่งผมเปิดไว้เพื่อทำการซื้อขายหุ้น
แต่ถ้าดูจากเวปทั่วไปดูได้จากเวป www.settrade.com และ www.set.or.th
ซึ่งจะมีคำว่า กราฟรายวันให้ในหน้า หุ้นรายวันครับ แต่ว่าจะดูได้แค่หยาบ ๆ ครับ
ผมจะลองค้นหาดูว่าจะสามารถดูกราฟแบบละเอียดเป็นรายนาทีได้ที่เวปไหนบ้างแล้วจะส่งข่าวต่อไปครับ
อีกเวปที่น่าสนใจครับ
http://www.thaivi.com/ และ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=34114&sid=e28d94f89887fc37e790001b581f0f6c
ลองเข้าไปศึกษาดูก่อนนะครับ

ถาม..ที่ว่าหุ้นวันนี้ที่น่าสนใจมีอยู่ 2 ตัว เรารู้ล่วงหน้าจากดาววันเกิดจร หรือดูจากภาวะปัจจุบันที่หุ้นนั้นเดินอยู่ขณะนี้

ตอบ การที่จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจ
ปัจจัยแรกคือต้องทำการบ้านแล้วเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องครับ
และคอยสังเกตจากหลายจุดเป็นเครื่องยืนยัน เช่น
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
และผลประกอบการของบริษัทฯเจ้าของหุ้นนั้น ๆ ว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรก ไตรมาสที่สอง ไตรมาสที่สาม และสี่ เป็นอย่างไร
และดูแนวโน้มว่าผลกำไรต่อไปจะเป็นอย่างไร
ซึ่งเมื่อเราเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มันน่าจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้น ๆ ขึ้นหรือลง
เราก็ใช้โหราศาสตร์เข้ามาตัดสินว่า เราควรจะลงทุนเดือน วัน ไหนดีครับ

31. ทดลองทำ     [113.53.209.78]     15 Nov 2010 - 16:03
สรุปข้อมูล DSM กับสถานการณ์จริง 8 วัน ใช้ได้จริง

คือผมเป็น มาร์เก็ตติ้ง และตอนนี้กำลังทดลองใช้ DSM กับลูกค้าท่านหนึ่งอยู่ โดยลูกค้ายินดีให้นำเสนอข้อมูลเพื่อศึกษาได้ และเพื่อแสวงหาแนวร่วมในการลงทุนแนวนี้

สรุปการใช้ DSM กับ ZMICO-W3
ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. ถึงวันที่ 20 ส.ค.2547 สิริรวม 8 วันทำการ

10 ส.ค. เริ่มซื้อวันแรก ที่ราคาเปิด 4.24 บาท จำนวน 23,000 หุ้น หักค่าคอมแล้ว เหลือเงิน 2,219.13 บาท มูลค่า พอร์ต 99,739.13 วันนี้หุ้นลงได้ขาย 2 ครั้งที่ 4.18และ 4.12 รวมเป็น 4,600 หุ้น เหลือเงิน 21,258.07 บาท มูลค่า พอร์ต 97,066.07 สิ้นวัน ปิดที่ 4.14 เหลือหุ้น 18,400 หุ้น มูลค่ารวม 76,176 บาท เงินสด 21,258.07 บาท

11 ส.ค. เปิดที่ 4.21 ผมก็ไม่ทำอะไร จนกระทั่งหุ้นเริ่มผันผวนหนัก เริ่มได้ขาย 2 ครั้ง 4.06 และ 4.00 รวมเป็น 4,600 หุ้น เหลือเงิน 39,746.08 บาท มูลค่า พอร์ต 94,946.48
ซื้อคืนที่ 3.94 บาท ที่ 9200 หุ้น เหลือเงิน 3,401.52 บาท มูลค่า พอร์ต 94,021.52
ซื้อเพิ่มจาก กสงฝ 800 หุ้น ที่ 3.88 บาท เหลือเงิน 289.21 บาท มูลค่า พอร์ต 92,633.21
ยังลงต่อเลยขายที่ 3.82 บาท 2400 หุ้น เหลือเงิน 9,432.69 บาท มูลค่า พอร์ต 91,180.69
ซื้อคืน พร้อมซื้อเพิ่ม ที่ 3.76 บาท 2500 หุ้น เหลือเงิน 7.54 บาท มูลค่า พอร์ต 89,871.54
สิ้นวันปิดที่ 3.80 บาท มีหุ้น 23900 หุ้น (เพิ่มขึ้นแล้วครับ) มูลค่า พอร์ต 90,827.54

13 ส.ค. เปิดที่ 3.74 ได้ขายที่ 3.68 บาท 2,400 หุ้น เหลือเงิน 8786.04 มูลค่า พอร์ต 87,906.04 วันนี้เสียค่าคอมฯ. ขั้นต่ำ

16 ส.ค. เปิดที่ 3.66 ลงไปที่ 3.62 บาท เลยซื้อคืน 2,400 หุ้น เหลือเงิน 44.54 มูลค่า พอร์ต 86,562.54 วันนี้เสียค่าคอมฯ. ขั้นต่ำ อีกแล้ว

17 ส.ค. เปิดที่ 3.98 ซึ่งผมถือว่า มีหุ้นครบแล้ว เมื่อหุ้นลงไป ที่ 3.92 บาท จึงชิงจังหวะขายเลย 2,400 หุ้น ปรากฏว่าหุ้นดีดกลับ ไปปิดที่ 4.10 บาท จ๋อย เลย ไม่ได้ซื้อคืน แต่ของงี้มันต้องดูกันนาน ๆ

18 ส.ค. เปิดที่ 4.10 แล้วขึ้นต่อเนื่อง เลยตัดสินใจ ปรับจุดขายใหม่ เมื่อขึ้นไป เกิน 15 ช่องครับ เมื่อหุ้นเริ่มถอยลงมา เลยขายที่ 4.22 4.16 4.10 รวดเลยครับ 7200 หุ้น หุ้นต่ำสุดที่ 4.08 ปิดที่ 4.14 เหลือเงิน 39,270.92 มูลค่า พอร์ต 98,472.92

19 ส.ค. เปิดกระโดด 4.21 ซื้อคืนไม่ทันตั้ง 40 % เลยครับ เริ่มจ๋อย (ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนสงสัยครับว่าจะทำอย่างไร คำตอบคือ ไม่ต้องทำอย่างไร) ในที่สุด หุ้นก็รูดลงมาเอง และในที่สุดก็ได้ซื้อคืน ที่ราคาปิดเลยครับ 4.04 จำนวน 7,200 หุ้น (30% ครับ ยังเหลือที่ขาย ไป 3.92 ซื้อคืนไม่ได้)
สรุป มีหุ้น 21,500 หุ้น เหลือเงิน 10,105.11 มูลค่า พอร์ต 96,965.11

20 ส.ค. ลงต่อเนื่อง เปิดที่ 3.98 ขายเลยครับ ลงต่อที่ 3.92 ไม่ทำอะไร เพราะเคยขายที่ราคานี้แล้ว ยังไม่ได้ซื้อคืนเลย ลงต่อที่ 3.86 ขายอีกครับ จนกระทั้งซื้อคืนพร้อมซื้อเพิ่ม ที่ราคาปิด 3.80 บาท 7,500 หุ้น เย้ รอมาหลายวัน

สรุป 8 วันทำการ
ราคา ลงจาก 4.24 เหลือ 4.10 ลดลง 3.30%
หุ้น จาก 23,000 หุ้น เป็น 24,200 หุ้น เพิ่มขึ้น 5.22% เย้ ๆ
มูลค่าพอร์ต เริ่มต้น 99,739.13 เหลือ 92254.54 ลดลง 0.23% (ชนะตลาดเห็น ๆ)

32. ลงทุนในหุ้น     [118.172.174.235]     21 Nov 2010 - 10:17
มาลงทุนในหุ้น กันนะครับ
FATS-Revolution
(Fusion Advance Trading System)
ลิงค์สำหรับไฟล์ประกอบนะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y

ลงทุน เพื่ออะไร
บางทีคุณอาจคิดว่า การลงทุนก็เพื่อหวังผลกำไร
แต่สำหรับผม ผมคิดว่า การลงทุนนั้น
ก็เพื่อที่จะสร้างระบบที่จะดึงดูดรายได้เข้ามา
และแน่นอนว่า หากมันยังดึงดูดเงินเข้ามาเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป รายได้ที่เข้ามานั้น ก็จะเท่ากับเงินที่ได้ลงทุนไปในคราวแรก
และหลังจากนั้น สิ่งที่ได้เข้ามาก็คือของฟรี

จะเรียกว่ากำไรก็ได้ครับ แต่ผมจะเรียกมันว่า “ของฟรี”
เราลงทุน เพื่อที่จะได้ของฟรี (นี่เป็นนิยามของการลงทุนแบบผม)

เราจะได้ของฟรี ได้อย่างไร

ขั้นแรก เราลงทุนด้วยเงินก้อนหนึ่ง ลงทุนกับอะไรก็แล้วแต่
ซึ่งสิ่งที่ลงทุนนั้น จะสามารถทำให้เงิน ไหลมาทีละเล็กทีละน้อย
สมมุติว่า คุณลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านบาท กับแฟรนไชส์อย่าง 7-eleven
เงินที่คุณลงทุนไป มันได้หายไปต่อหน้าต่อตาคุณแล้ว
และคุณอาจจะไม่มีทางได้คืน 5 ล้านบาท เมื่อคุณเปลี่ยนใจไม่อยากมีร้านนั้นแล้ว

คุณอาจจะขายร้านนี้ต่อให้ใครสักคน หากคุณต้องการเงินคืนอย่างเร่งด่วน
โอกาสที่คุณจะขายได้มากกว่า 5 ล้านนั้น ค่อนข้างยาก
เพราะเงินจำนวนมากอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่กับทุกคน
แต่จะง่ายกว่า หากคุณจะขายขาดทุนไปในราคาที่ต่ำกว่า 5 ล้าน
เช่น คุณขายได้เพียง 4 ล้านบาท คุณก็จะขาดทุนไปทันที 1 ล้านบาท

เมื่อลงทุนเปิดร้านไปแล้ว ก็อาศัยการซื้อสินค้าเข้ามาในร้าน แล้วก็ขายให้ลูกค้า
ส่วนต่างของราคาสินค้า คือ กำไร
และกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่าย ส่วนนั้น คือ รายได้

ร้านค้าอย่าง 7-eleven เหลือรายได้วันละเท่าไหร่
อาจจะวันละ 1,000 หรือระดับ หลายหมื่นต่อวัน
สมมุติว่า ร้านนี้มีรายได้วันละ 1,000 บาท
แสดงว่า 1 ปี จะมีเงินรายได้ 365,000 บาท
ใช้เวลากี่ปีจึงจะได้เงิน 5 ล้านคืน ก็ลองคำนวณดูครับ

แต่ถ้าร้านนี้มีรายได้วันละ 10,000 บาท
1 ปี ก็จะมีรายได้ 3,650,000 บาท
ก็คงใช้เวลาไม่ถึงสองปีที่จะได้เงิน 5 ล้านคืน
ส่วนที่เกิน 5 ล้านไปแล้ว ที่เหลือนั้นก็คือ ของฟรีครับ

ในตลาดหุ้น ก็มีของฟรี ไม่ต่างจากร้านค้าอย่าง 7-eleven

หากเราลงทุนในตลาดหุ้น ตัวหุ้นเป็นสินค้าที่ใช้ซื้อขายได้
- หุ้นสามารถสร้างรายได้ หากคุณขายหุ้นได้ราคาสูงกว่าที่คุณซื้อมา
- ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นรายจ่าย หากคุณขายหุ้นในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา

คุณควรเรียนรู้วิธีการที่จะทำให้หุ้นสร้างรายได้ แทนที่จะให้มันกลายเป็นรายจ่าย
เพราะเมื่อคุณสร้างรายได้เข้ามาเรื่อยๆ รายได้รวมก็จะมาถึงจุดที่คุณได้ลงทุนไป
ส่วนที่เหลือหลังจากนั้น ก็จะกลายเป็น “ของฟรี”

แต่ถ้าคุณปล่อยให้มันสร้างแต่รายจ่าย คุณอาจจะสูญเงินที่คุณลงทุนไปทั้งหมดก็เป็นไปได้
แทนที่จะได้ของฟรี คุณกลับทิ้งเงินที่มีอยู่ออกไปอย่างน่าเสียดาย

คนจำนวนมากสูญเงินไปกับตลาดหุ้น เพราะเขาไม่สามารถสร้างรายได้เข้ามา
และปล่อยให้มันสร้างแต่รายจ่าย
(หรือบางที การมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ มันก็ได้ผลลัพธ์รวมเท่ากับการมีรายจ่ายนั่นเอง)
ที่เขาขาดทุนในการเล่นหุ้น ก็เพราะ รายจ่ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

ทำไมหลายคนจึงขาดทุน

หากเปรียบกับร้านค้าอย่าง 7-eleven
คุณคงจะไม่รีบร้อนขายร้านค้านั้นทิ้งไป
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ไม่ว่าจะมีคนมาบอกกับคุณว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า
ถ้าไม่อยากขาดทุนมาก คุณจะขายให้ฉันไหม ฉันให้ราคา 4 ล้านบาท

คุณอาจจะเริ่มหวั่นไหว หากมีคนที่สองมาบอกกับคุณว่า ทำเลแถวนี้มีขโมยเยอะ
ถ้าไม่อยากขาดทุนมาก คุณจะขายให้ฉันไหม ฉันให้ราคา 3 ล้านบาท

คุณอาจจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นไปอีก
หากมีคนที่สาม มาบอกกับคุณว่า
โอ้ย แถวนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีเงินซื้อหรอก ขายให้ผมล้านนึง ผมยังไม่ซื้อเลย

เห็นไหมครับ ว่า คนที่ขาดทุนในหุ้นนั้นเพราะอะไร
เพราะเขาเพิ่งจะลงทุนไปหยกๆ แล้วมีคนมาบอกเค้าว่า
ราคาหุ้นตัวนี้ไม่น่าสนใจ ราคาน่าจะต่ำกว่าที่คุณซื้อมา
เมื่อคุณยอมขายไป มันก็คือ การขาดทุน
และการขาดทุน ก็คือ รายจ่ายใช่ไหมครับ

และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ รายจ่ายนั้นก็ทำให้คุณหมดตัวได้ครับ

มูลค่าพอร์ต คือ คำพูดของคนสองสามคนนั้น

อาจจะจริงอย่างที่คนสองสามคนพูด คือ
สถานการณ์บางอย่าง ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมากกว่าที่คุณซื้อมา
เพราะเมื่อคุณดูราคาหุ้นตอนนี้ ราคามันต่ำลงไป
ก็จะเห็นตัวเลขสีแดงๆ
ที่เปรียบเหมือนกับการที่มีหลายๆ คนมาพูดกรอกหูคุณว่า ขายเถอะ ขายเถอะ
เห็นไหมตอนนี้คุณขาดทุนไปแล้วเท่าไหร่

และมูลค่าพอร์ตที่ติดลบนี่เอง กระตุ้นให้คุณ ขายขาดทุน
และกลายเป็นรายจ่ายในที่สุด

ถ้าคุณจะเป็นนักลงทุน คุณอาจจะมองดูมูลค่าของมันบ้าง
เพื่อที่จะรู้ว่า สถานการณ์ตอนนี้ ร้านค้าของคุณกำลังจะเข้าสู่วิกฤติหรือไม่
หากยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ คุณก็ไม่ต้องกลัวว่า มูลค่าพอร์ต ติดลบอยู่เท่าไหร่

..

เอาล่ะครับ
เรามาดูเทคนิคในการสร้างรายได้จากตลาดหุ้นกัน

ธรรมชาติของหุ้น มีขึ้น และ ลง
ในเมื่อมัน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
เราก็เอาธรรมชาติของการขึ้นลงนั่นแหละเป็นการสร้างรายได้

คุณซื้อหุ้นราคาหนึ่ง แล้วไปขายที่ราคาสูงกว่าที่ซื้อมา
มันก็ได้กำไร หรือ รายได้นั่นเอง
เมื่อหุ้นราคาตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อที่ราคานั้น
แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า ขายได้เมื่อไร มันก็คือ มีรายได้เข้ามาอีก
เมื่อราคาหุ้นตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อเข้ามาได้อีก
แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า

ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเลยใช่ไหมครับ
ที่มันยากสำหรับคนใหม่ หรือ คนที่ไม่รู้เทคนิค ก็เพราะไปดูมูลค่าพอร์ตนั่นเอง

แต่เทคนิคของระบบ FATS-Revolution นั้น มีรายละเอียดอยู่บ้างครับ

FATS-Revolution (เทคนิคการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว)
หลักการนี้เราไม่ได้ต้องการการเติบโตแบบรวยเร็ว รวยลัด
แต่เราจะอยู่บนพื้นฐานของการค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง

สมมุติว่าคุณมีเงินทุนอยู่ 20,000 บาท
และสนใจหุ้นตัวหนึ่ง ที่มีราคาประมาณ 2 บาท
คุณจะวางแผนอย่างไร จึงจะสามารถรองรับกรณีที่หุ้นราคาลดลงมากๆ

หลักการของระบบนี้ หัวใจอยู่ที่ “เงินสำรอง”
ที่เพียงพอจะซื้อหุ้นได้ในทุกช่วงราคา (ไม่ใช่ทุกราคานะครับ)
เดี๋ยวค่อยดูตัวอย่างก็แล้วกันครับ

ลองดูตัวอย่างนี้ครับ
ราคา * จำนวนหุ้นที่ซื้อ = เป็นเงินสำรองซื้อ
2.00 * 100 = 200
1.90 * 200 = 380
1.80 * 300 = 540
1.70 * 400 = 680
1.60 * 500 = 800
1.50 * 600 = 900
1.40 * 700 = 980
1.30 * 800 = 1040
1.20 * 900 = 1080
1.10 * 1000 = 1100
1.00 * 1100 = 1100
0.90 * 1200 = 1080
0.80 * 1300 = 1040
0.70 * 1400 = 980
0.60 * 1500 = 900
0.50 * 1600 = 800
0.40 * 1700 = 680
0.30 * 1800 = 540
0.20 * 1900 = 380
0.10 * 2000 = 200
รวมเงินสำรองทั้งหมด = 15,400 บาท

ทีนี้ไม่ว่าหุ้นมันจะร่วงไปจนติดพื้น เราก็มีเงินพอซื้อได้เสมอ
สังเกตว่า การซื้อหุ้นจะซื้อในรูปแบบปิรามิด คือ ราคาถูกก็จะซื้อในจำนวนที่มากขึ้น

เพราะเราได้ล็อคจำนวนซื้อแต่ละราคาแล้ว
เราจึงรู้ได้ทันทีว่า ในแต่ละราคา เราต้องมีหุ้นอยู่ในมือรวม (สะสม) เท่าไหร่

ที่ราคา —— จำนวนหุ้นสะสม
2.00 ———-> 100
1.90 ———-> 300
1.80 ———-> 600
1.70 ———-> 1000
1.60 ———-> 1500
1.50 ———-> 2100
1.40 ———-> 2800
1.30 ———-> 3600
1.20 ———-> 4500
1.10 ———-> 5500
1.00 ———-> 6600
0.90 ———-> 7800
0.80 ———-> 9100
0.70 ———-> 10500
0.60 ———-> 12000
0.50 ———-> 13600
0.40 ———-> 15300
0.30 ———-> 17100
0.20 ———-> 19000
0.10 ———-> 21000

การขายทำกำไร จะขายเหนือกว่าจุดซื้อ 1 ช่วงตัว
เช่น
ซื้อที่ราคา——-> ราคาเป้าหมายขายทำกำไร
2.00 ———-> 2.10
1.90 ———-> 2.00
1.80 ———-> 1.90
1.70 ———-> 1.80
1.60 ———-> 1.70
1.50 ———-> 1.60
1.40 ———-> 1.50
1.30 ———-> 1.40
1.20 ———-> 1.30
1.10 ———-> 1.20
1.00 ———-> 1.10
0.90 ———-> 1.00
0.80 ———-> 0.90
0.70 ———-> 0.80
0.60 ———-> 0.70
0.50 ———-> 0.60
0.40 ———-> 0.50
0.30 ———-> 0.40
0.20 ———-> 0.30
0.10 ———-> 0.20

ทำอย่างไร ถ้าหากหุ้นมีราคาสูงขึ้น จนกระทั่งเราขายไปจนหมด
เราก็ต้องปรับแผนใหม่ ด้วยการปรับช่วงราคาซื้อขายใหม่ตามเงินทุนที่มีอยู่
เช่น หุ้นขึ้นไปที่ 2.50 เราก็ต้องเปลี่ยนช่วงใหม่ อาจจะเป็นแบบนี้ครับ
2.50 * 100 = 250
2.36 * 200 = 472
2.22 * 300 = 666
2.08 * 400 = 832
1.94 * 500 = 970
1.80 * 600 = 1080
1.66 * 700 = 1162
1.52 * 800 = 1216
1.38 * 900 = 1242
1.24 * 1000 = 1240
1.10 * 1100 = 1210
0.96 * 1200 = 1152
0.82 * 1300 = 1066
0.68 * 1400 = 952
0.54 * 1500 = 810
0.40 * 1600 = 640
0.26 * 1700 = 442
0.12 * 1800 = 216
เงินทุนสำรอง = 15,618 บาท

เราจะใช้ excel เป็นตัวช่วยคำนวณ
เมื่อเรากรอกจำนวนหุ้นที่มีอยู่
โปรแกรมก็จะบอกว่า ที่ราคาเป้าหมายใดๆ
หากมีหุ้นมากกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม (ที่เราล็อคไว้แล้ว)
ก็จะให้ขายออกไปจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหลือเท่ากับที่ต้องการ

หากมีหุ้นน้อยกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม
ก็จะให้ซื้อเข้ามาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ได้จำนวนเท่ากับที่ต้องการ

เช่น
ตอนนี้เราซื้อๆ ขายๆ จนมีหุ้นอยู่ในมือ 4,500 หุ้น
แต่ราคาหุ้น ไปอยู่ที่ระดับราคา 1.40
ซึ่งเป้าหมายหุ้นสะสม = 2,800 หุ้น
จึงต้องขายออกไป = 4,500 - 2,800 = 2,100 หุ้น

ให้ดูรายละเอียดในไฟล์ excel นะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y

แค่ทำตามนั้นครับ
หน้าที่เราสำคัญอยู่ที่การวางแผนช่วงซื้อขาย
ว่าจะกำหนดราคาและจำนวนอย่างไร
ที่เหลือก็ทำตามที่โปรแกรมบอกให้ซื้อหรือขาย เป็นจำนวนเท่าไหร่
ไม่ถึงราคาซื้อก็ยังไม่ซื้อ ไม่ถึงราคาขายก็ยังไม่ขาย เราแค่ทำตาม

คุณอาจจะคิดว่า เงินสำรองมีมากเกินไป
ทำให้ประสิทธิภาพของการทำรายได้อาจจะน้อยเกินไป
แต่หลักการนี้ ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงลงได้มาก เพราะเงินสดยังอยู่ในมือคุณ
และแน่นอนว่า คุณยังได้ดอกเบี้ย (จากโบรกเกอร์หรือธนาคาร)
ส่วนหุ้นที่ยังไม่ได้ขาย
คุณก็จะได้รับส่วนเงินปันผล (หากว่าคุณเลือกหุ้นที่น่าจะได้ปันผลรายปี)

หลักการนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเงินฝาก
จากที่อาจจะได้เพียงสองสามเปอร์เซ็นต์ต่อปี
ก็สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นได้
ที่สำคัญ หลักการนี้สามารถทำได้ง่ายๆ และทำได้ตลอดไป
จนกว่าตลาดหุ้นจะสูญหายไปจากระบบเศรษฐกิจ

…………….

ควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนนำไปใช้ครับ
และผมไม่รับประกันว่า ทำตามระบบนี้จะประสบความสำเร็จได้ทุกคน
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ


33. google     [118.172.174.235]     21 Nov 2010 - 10:34
อย่ากลัวที่จะได้กำไรน้อย –

หากต้องการกำไรสูงสุด จากตลาดหุ้น คุณก็จะต้อง ซื้อหุ้นด้วยเงินทั้งหมด ที่ราคาต่ำที่สุด และขายหุ้นทั้งหมด ที่ราคาสูงสุด ซึ่งแน่นอนว่า หากราคาหุ้นสูงขึ้น 10% คุณก็จะได้กำไร 10% หากราคาหุ้นสูงขึ้น 700% คุณก็จะได้กำไร 700% ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะ คุณอาจทำมันได้เพียงครั้งเดียว ที่จะฟลุ๊กได้แบบนั้น ระบบที่ดีที่สุด ทำได้แค่เพียง ช่วยให้คุณซื้อหุ้นได้ที่ราคา เกือบต่ำที่สุด และขายหุ้นได้ที่ราคา เกือบสูงที่สุด ซึ่งผมคิดว่า ระบบเช่นที่ว่านั้น ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้n แต่ระบบที่กำไรน้อยๆ สม่ำเสมอนั้น มีอยู่จริงครับ และกำไรน้อยๆ นี่เอง คือ หัวใจของธุรกิจ เพราะ กำไรน้อย ก็คือ เสี่ยงน้อย เพราะ เสี่ยงน้อย ก็เลย กำไรมาก (เอง) คุณจะต้องให้เวลากับเงินของคุณมากพอ ไม่มีประโยชน์ หากคุณหอบหุ้นสูงขึ้นไปที่ราคา 1000 เท่า แล้วก็ไม่ขายที่ราคานั้น ปล่อยมันตกมาที่ราคาเดิม สิ่งที่ทำได้เลยก็คือ
อยู่ตรงไหนก็ซื้อได้ เพื่อมีของไว้ขาย
อยู่ตรงไหนก็ขายได้ เพื่อมีเงินหมุนเวียนซื้อใหม่

ระบบ FATS ช่วยคุณทำกำไร ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง
และปกป้องเงินและหุ้นของคุณไว้เสมอ

หากคุณต้องการผลการตอบแทนที่สูงมากพอ อาจจะต้องหาวิธีการอื่น แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ความเติบโตที่สม่ำเสมอ ปีละ 10-20% ทุกปี ก็ขอให้ศึกษาระบบนี้ ให้เข้าใจจริงๆเพราะ โดยวิธีการที่ผมนำเสนอไปนั้น มีรายละเอียดเพียง 4 บทความเท่านั้น คือ
1. FATS Basic
2. ทำอย่างไร เมื่อราคาหุ้นตก (พูดถึงการย้ายหุ้น)
3. ทำอย่างไร เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ (พูดถึงการแบ่งขายครึ่งหนึ่ง แล้วซื้อคืน)
4. การวัดความเติบโตของการลงทุน ในแบบของ FATS

หลักการจริงๆ มีเพียงเท่านี้ และผมไม่มีอะไรเขียนมากไปกว่านั้น
เพราะหลักการของมันมีอยู่เท่านั้นครับ แต่ในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นในส่วนมุมมองการลงทุนนั้น ผมคิดว่าจำเป็นต้องเขียน ก็เพื่อที่จะเป็นอาหารสมอง เป็นความเพลิดเพลิน เป็นความรื่นรมย์ของชีวิต ในระหว่าง รอผลของเมล็ดพันธุ์ของการลงทุนที่เราได้เริ่มต้นหว่านไปแล้ว เท่านั้นเองครับ
เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะได้กำไรน้อย โบราณว่า “อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา” ครับ

ที่มา http://fatsrevolution.wordpress.com/

.

34. FATS Basic     [118.172.174.235]     21 Nov 2010 - 11:47
FATS Basic
เทคนิคในการสร้างรายได้จากตลาดหุ้นกัน

ธรรมชาติของหุ้น มีขึ้น และ ลง ในเมื่อมัน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เราก็เอาธรรมชาติของการขึ้นลงนั่นแหละเป็นการสร้างรายได้
คุณซื้อหุ้นราคาหนึ่ง แล้วไปขายที่ราคาสูงกว่าที่ซื้อมา มันก็ได้กำไร หรือ รายได้นั่นเอง
เมื่อหุ้นราคาตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อที่ราคานั้น แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า ขายได้เมื่อไร มันก็คือ มีรายได้เข้ามาอีก
เมื่อราคาหุ้นตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อเข้ามาได้อีก แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า

FATS-Revolution (เทคนิคการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว)
หลักการนี้เราไม่ได้ต้องการการเติบโตแบบรวยเร็ว รวยลัด แต่เราจะอยู่บนพื้นฐานของการค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง

หลักการของระบบนี้ หัวใจอยู่ที่ “เงินสำรอง” ที่เพียงพอจะซื้อหุ้นได้ในทุก ช่วงราคา (ไม่ใช่ทุกราคานะครับ) เดี๋ยวค่อยดูตัวอย่างก็แล้วกันครับ

ลองดูตัวอย่างนี้ครับ
ราคา * จำนวนหุ้นที่ซื้อ = เป็นเงินสำรองซื้อ
2.00 * 100 = 200
1.90 * 200 = 380
1.80 * 300 = 540
1.70 * 400 = 680
1.60 * 500 = 800
1.50 * 600 = 900
1.40 * 700 = 980
1.30 * 800 = 1040
1.20 * 900 = 1080
1.10 * 1000 = 1100
1.00 * 1100 = 1100
0.90 * 1200 = 1080
0.80 * 1300 = 1040
0.70 * 1400 = 980
0.60 * 1500 = 900
0.50 * 1600 = 800
0.40 * 1700 = 680
0.30 * 1800 = 540
0.20 * 1900 = 380
0.10 * 2000 = 200
รวมเงินสำรองทั้งหมด = 15,400 บาท

ทีนี้ไม่ว่าหุ้นมันจะร่วงไปจนติดพื้น เราก็มีเงินพอซื้อได้เสมอ
สังเกตว่า การซื้อหุ้นจะซื้อในรูปแบบปิรามิด คือ ราคาถูกก็จะซื้อในจำนวนที่มากขึ้น เพราะเราได้ล็อคจำนวนซื้อแต่ละราคาแล้ว เราจึงรู้ได้ทันทีว่า ในแต่ละราคา เราต้องมีหุ้นอยู่ในมือรวม (สะสม) เท่าไหร่
ที่ราคา —— จำนวนหุ้นสะสม
2.00 ———-> 100
1.90 ———-> 300
1.80 ———-> 600
1.70 ———-> 1000
1.60 ———-> 1500
1.50 ———-> 2100
1.40 ———-> 2800
1.30 ———-> 3600
1.20 ———-> 4500
1.10 ———-> 5500
1.00 ———-> 6600
0.90 ———-> 7800
0.80 ———-> 9100
0.70 ———-> 10500
0.60 ———-> 12000
0.50 ———-> 13600
0.40 ———-> 15300
0.30 ———-> 17100
0.20 ———-> 19000
0.10 ———-> 21000

การขายทำกำไร จะขายเหนือกว่าจุดซื้อ 1 ช่วงตัว เช่น
ซื้อที่ราคา——-> ราคาเป้าหมายขายทำกำไร
2.00 ———-> 2.10
1.90 ———-> 2.00
1.80 ———-> 1.90
1.70 ———-> 1.80
1.60 ———-> 1.70
1.50 ———-> 1.60
1.40 ———-> 1.50
1.30 ———-> 1.40
1.20 ———-> 1.30
1.10 ———-> 1.20
1.00 ———-> 1.10
0.90 ———-> 1.00
0.80 ———-> 0.90
0.70 ———-> 0.80
0.60 ———-> 0.70
0.50 ———-> 0.60
0.40 ———-> 0.50
0.30 ———-> 0.40
0.20 ———-> 0.30
0.10 ———-> 0.20

ทำอย่างไร ถ้าหากหุ้นมีราคาสูงขึ้น จนกระทั่งเราขายไปจนหมด
เราก็ต้องปรับแผนใหม่ ด้วยการปรับช่วงราคาซื้อขายใหม่ตามเงินทุนที่มีอยู่
เช่น หุ้นขึ้นไปที่ 2.50 เราก็ต้องเปลี่ยนช่วงใหม่ อาจจะเป็นแบบนี้ครับ
2.50 * 100 = 250
2.36 * 200 = 472
2.22 * 300 = 666
2.08 * 400 = 832
1.94 * 500 = 970
1.80 * 600 = 1080
1.66 * 700 = 1162
1.52 * 800 = 1216
1.38 * 900 = 1242
1.24 * 1000 = 1240
1.10 * 1100 = 1210
0.96 * 1200 = 1152
0.82 * 1300 = 1066
0.68 * 1400 = 952
0.54 * 1500 = 810
0.40 * 1600 = 640
0.26 * 1700 = 442
0.12 * 1800 = 216
เงินทุนสำรอง = 15,618 บาท

เราจะใช้ excel เป็นตัวช่วยคำนวณ
เมื่อเรากรอกจำนวนหุ้นที่มีอยู่
โปรแกรมก็จะบอกว่า ที่ราคาเป้าหมายใดๆ
หากมีหุ้นมากกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม (ที่เราล็อคไว้แล้ว)
ก็จะให้ขายออกไปจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหลือเท่ากับที่ต้องการ

หากมีหุ้นน้อยกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม
ก็จะให้ซื้อเข้ามาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ได้จำนวนเท่ากับที่ต้องการ เช่น
ตอนนี้เราซื้อๆ ขายๆ จนมีหุ้นอยู่ในมือ 4,500 หุ้น แต่ราคาหุ้น ไปอยู่ที่ระดับราคา 1.40 ซึ่งเป้าหมายหุ้นสะสม = 2,800 หุ้น จึงต้องขายออกไป = 4,500 - 2,800 = 2,100 หุ้น ให้ดูรายละเอียดในไฟล์ excel นะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y

แค่ทำตามนั้นครับ หน้าที่เราสำคัญอยู่ที่การวางแผนช่วงซื้อขาย
ว่าจะกำหนดราคาและจำนวนอย่างไร ที่เหลือก็ทำตามที่โปรแกรมบอกให้ซื้อหรือขาย เป็นจำนวนเท่าไหร่ ไม่ถึงราคาซื้อก็ยังไม่ซื้อ ไม่ถึงราคาขายก็ยังไม่ขาย เราแค่ทำตาม คุณอาจจะคิดว่า เงินสำรองมีมากเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพของการทำรายได้อาจจะน้อยเกินไป แต่หลักการนี้ ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงลงได้มาก เพราะเงินสดยังอยู่ในมือคุณ และแน่นอนว่า คุณยังได้ดอกเบี้ย (จากโบรกเกอร์หรือธนาคาร) ส่วนหุ้นที่ยังไม่ได้ขาย คุณก็จะได้รับส่วนเงินปันผล (หากว่าคุณเลือกหุ้นที่น่าจะได้ปันผลรายปี)
หลักการนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพเงินฝาก จากที่อาจจะได้เพียงสองสามเปอร์เซ็นต์ต่อปี ก็สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นได้ ที่สำคัญ หลักการนี้สามารถทำได้ง่ายๆ และทำได้ตลอดไป จนกว่าตลาดหุ้นจะสูญหายไปจากระบบเศรษฐกิจ






35. หลอกแด๊ก     [58.8.195.236]     21 Nov 2010 - 11:51
หุ้นร่วงทุกวันยังจะหลับหูหลับตาหลอกคนอื่นอีกนะ
จะมาหาแมงเม่ารับซื้อหุ้นร้อนของตัวเองออกไปใช่มั้ยล่ะ

36. การย้ายหุ้น     [118.172.174.235]     21 Nov 2010 - 12:04
ทำอย่างไร เมื่อราคาหุ้นตก (การย้ายหุ้น)
เมื่อหุ้นลง และ ลง
1. ถ้าลงอย่างไม่มีเหตุผล ก็แสดงว่า ถูกเจ้าทุบหุ้นเพื่อเก็บเอาของ ก็ไม่ต้องตกใจครับ เพราะเดี๋ยวมันก็ขึ้นมา ถึงแม้จะไม่ขึ้นมาเท่ากับราคาสูงสุดที่เคยซื้อ ก็ไม่ต้องกลัวครับ เพราะมันยังอยู่ในแผน
2. ถ้าลงเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ หุ้นในพอร์ตทุกตัว จะมีมูลค่าลดพร้อมกันหมด และลดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน แบบนี้ก็ให้เริ่มทยอยขายออกมา(เดี๋ยวเรื่องการทยอยขายออกมา ผมจะเขียนในอีกหัวข้อหนึ่งต่างหาก)
3. แต่ถ้าลง เพราะธุรกิจกำลังจะไปไม่รอด (ดูจากข่าวสารที่ออกมาบ้าง ดูงบการเงินบ้าง ฯลฯ)แบบนี้ต้องไม่ซื้อหุ้นเพิ่มแล้ว แต่จะต้องขายหุ้นออกให้เร็วที่สุดแต่ก่อนจะขายหุ้น จะต้องมองหาหุ้นตัวอื่นเอาไว้ คือ เราจะรู้ว่าหลังจากที่เราขายหุ้นออกไปแล้ว จะมีเงินสดจากหุ้นตัวนี้เท่าไหร่ (ซึ่งรวมทั้งเงินสำรองที่ยังไม่ได้นำมาใช้ด้วยนะครับ)
ในการที่จะเลือกหุ้นตัวใหม่นั้น สามารถเลือกหุ้นในช่วงราคาใกล้เคียงกันก็ได้ หรือจะเลือกหุ้นที่อยู่คนละระดับราคาก็ได้ แต่สำคัญอยู่ที่การกำหนดช่วงซื้อขาย และจำนวนที่จะซื้อขายใหม่ เช่น
เราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ลงมาตามราคาแบบนี้
ราคา —> จำนวน
2.00 –> 1000
1.90 –> 2000
1.80 –> 3000
1.70 –> 4000
1.60 –> 5000
1.50 –> 6000

(รวมส่วนที่ซื้อไปแล้ว เป็นเงิน 35,000 ) จำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ คือ 21,000 หุ้น หากคุณขายไปทั้งหมด ที่ราคา 1.45 บาท ก็จะได้เงินส่วนนี้คืน 30,450 บาท ส่วนที่เป็นเงินสำรองที่ยังไม่ใช้ 119,000 ดังนี้
1.40 –> 7000
1.30 –> 8000
1.20 –> 9000
1.10 –> 10000
1.00 –> 11000
0.90 –> 12000
0.80 –> 13000
0.70 –> 14000
0.60 –> 15000
0.50 –> 16000
0.40 –> 17000
0.30 –> 18000
0.20 –> 19000
0.10 –> 20000
(ซึ่งนับเป็นจำนวน 14 ระดับราคา ที่ยังไม่ได้ซื้อ)

เมื่อคุณกำลังอยากจะย้ายไปหาหุ้นตัวใหม่ และได้เล็งราคาไว้ในช่วงประมาณ 3 บาท เงินส่วนที่ได้จากการขายหุ้นเดิม 30450 บาท ก็จะสามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมดประมาณ 10100 หุ้น แต่เราต้องมีหุ้นอย่างน้อย 6 ช่วงราคาเหมือนกับหุ้นเดิมที่มีอยู่ เราต้องแจกแจงออกมาให้เหมือนกับหุ้นตัวเดิม
วิธีการคือใช้ excel ช่วยคำนวณ
เอาจำนวนหุ้นใหม่ คือ 10,100 หารด้วยหุ้นเก่า 21,000 = 0.481
เอาตัวเลขนี้ คูณกับ 1000 ถึง 6000
1000*0.481 = 481
2000*0.481 = 962
3000*0.481 = 1443
4000*0.481 = 1924
5000*0.481 = 2405
6000*0.481 = 2886
ปัดเศษให้ลงตัวเพื่อให้ซื้อขายหุ้นได้แบบไม่เหลือเศษได้ดังนี้
400
900
1400
1900
2400
2800
รวม = 9800

จะเห็นว่าแต่ละช่วงจะมีห่างกัน 400 ถึง 500 หุ้น แต่เนื่องจากช่วง 2400 กับ 2800 ต่างกัน 400 หุ้น เราจึงปรับช่วงให้เท่ากันทั้งหมดทุกระดับราคา คือ 500 หุ้น ทำให้ช่วงสุดท้ายเปลี่ยนจาก 2800 ให้เป็น 2900 แทน
ช่วงใหม่จึงได้ออกมาแบบนี้
400
900
1400
1900
2400
2900
รวมทั้งหมด 9900 หุ้น
จำนวนหุ้นตัวใหม่ที่เราจะซื้อคือ 9900 หุ้น ที่ราคา 3 บาท การทำแบบนี้เป็นการซื้อเผื่อที่ราคาสูงกว่า 3 บาทด้วย เป็นจำนวน 6 ช่วงราคา และสำรองเงินสำหรับซื้อที่ราคาต่ำกว่า 3 บาท เป็นจำนวน 14 ช่วงราคา

ดังนั้น การวางแผนช่วงราคา อาจเป็นแบบนี้ครับ
4.00 –> 400
3.80 –> 900
3.60 –> 1400
3.40 –> 1900
3.20 –> 2400
3.00 –> 2900
2.80 –> 3400
2.60 –> 3900
2.40 –> 4400
2.20 –> 4900
2.00 –> 5400
1.80 –> 5900
1.60 –> 6400
1.40 –> 6900
1.20 –> 7400
1.00 –> 7900
0.80 –> 8400
0.60 –> 8900
0.40 –> 9400
0.20 –> 9900
เมื่อวางแผนได้แบบนี้แล้ว ก็ไปเขียนลงในไฟล์ Excel โดยการกำหนดช่วงห่างตามนี้ จำนวนการวางแผนซื้อขาย ก็จะเปลี่ยนไปอัตโนมัติ
(ทดลองดูกับไฟล์ที่คุณได้ download ไปแล้ว) ที่ราคา 3.00 โปรแกรมก็จะบอกให้คุณซื้อหุ้นเข้ามา 9900 หุ้น โดยอัตโนมัติ คุณก็สามารถเริ่มต้นกับหุ้นตัวใหม่ได้
โดยที่ยังมีรูปแบบการสร้างรายได้เทียบเท่ากับหุ้นตัวเดิมที่คุณทิ้งไปแล้ว
ถ้าหุ้นขึ้น คุณก็มีขายได้ทันทีครับ ถ้าหุ้นลง คุณก็มีเงินสำรองจากหุ้นตัวเดิม มาซื้อหุ้นตัวใหม่ได้เพียงพอ
คงพอเห็นแนวทางแก้ไข ในกรณีที่หุ้นที่เราถืออยู่ กำลังจะถูกถอนออกจากตลาดกันแล้วนะครับ
การทำแบบนี้นอกจากจะเหมาะสำหรับการ แก้ไขกรณีบริษัทกำลังย่ำแย่เต็มที ก็ยังสามารถช่วยในการย้ายจากหุ้นตัวที่ลงไปแล้วนิ่ง ไม่ขยับขึ้นลงนานๆ ได้ด้วยนะครับ

37. แบ่งขาย แล้วซื้อคืน     [118.172.174.235]     21 Nov 2010 - 12:21
ทำอย่างไร เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ
(การแบ่งขายครึ่งหนึ่ง แล้วซื้อคืน)

เมื่อเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาหุ้นทั้งตลาดจะตกต่ำลงพร้อมๆ กันทั้งหมด ไม่เว้นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยม เราก็ต้องเตรียมตัว เพื่อให้มีเงินสำรองกลับคืนมาอยู่ในมือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เราต้องทยอยลดการลงทุนลงมา
แต่ถ้าเราได้เลือกลงทุนกับบริษัทที่ดี แม้เศรษฐกิจตกต่ำ ก็สามารถสร้างผลกำไรได้ เราไม่จำเป็นต้องทิ้งหุ้นไปหมด เราเพียงแค่ลดต้นทุนลงก็พอ

วิธีการลดต้นทุน
ทำได้โดยการ ขายหุ้นออกไปทันทีครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่ทั้งหมด
ส่วนที่เหลืออยู่ ก็วางแผนขายหุ้นในรูปแบบปิรามิดหงาย เช่น
เดิมวางแผนซื้อหุ้น ลงมาแบบนี้
2.00 –> 1000
1.90 –> 2000
1.80 –> 3000
1.70 –> 4000
1.60 –> 5000
1.50 –> 6000

จะเห็นว่าได้ซื้อหุ้นมาแล้ว 21,000 หุ้น ใช้เงินไปทั้งหมด 35,000 บาท
เมื่อเห็นสัญญาณของเศรษฐกิจว่ากำลังจะตกต่ำ คุณก็ขายออกไปทันที ครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่ 10,500 หุ้น
(สมมุติว่าขายได้ที่ราคา 1.45) คุณจะได้เงินส่วนนี้กลับมา 15,225 บาท
หุ้นที่เหลืออยู่ ให้ล็อคขายแบบปิรามิดหัวกลับ แบบนี้
(คือ ครึ่งหนึ่งของที่ทยอยซื้อ)
ราคา -> จำนวนล็อคขาย
2.10 -> 3000
2.00 –> 2500
1.90 –> 2000
1.80 –> 1500
1.70 –> 1000
1.60 –> 500

(ในกรณีที่แย่ที่สุด เมื่อขายไปครึ่งหนึ่งแล้วหุ้นกลับดีดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
คุณจะขายหุ้นไปหมด ที่ราคา 2.10 จะได้เงินทั้งหมด คือ 35,525 บาท คือ อย่างน้อยก็ยังมีกำไร ไม่ทำให้ขาดทุน)

แต่ถ้าหุ้นยังลงต่อไปอีกคุณ ก็เพียงแค่ นำเงินที่ได้ขายหุ้นออกไปครึ่งหนึ่งแล้วนั้นทยอยซื้อคืน โดยล็อคจำนวนซื้อคืน แบบปิรามิดเหมือนเดิม แต่เป็นครึ่งหนึ่งของที่เคยได้ซื้อมาในตอนแรกดังนี้
ราคา -> จำนวนซื้อคืน
1.40 -> 500
1.30 -> 1000
1.20 -> 1500
1.10 -> 2000
1.00 -> 2500
0.90 -> 3000

การทำแบบนี้ คือ วิธีการสร้างรายได้ จากหุ้นที่มีอยู่แล้ว
โดยที่ไม่ต้องเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปอีก หรือ สามารถมองได้ว่า เป็นวิธีการลดต้นทุนของหุ้นก็ได้เหมือนกันครับ
วิธีการนี้จึงเหมาะกับหุ้นที่ยังมีศักยภาพใน การทำกำไร แม้ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ถ้า หุ้นที่มีทีท่าว่าจะไปไม่รอด คงต้องย้อนกลับไปดูวิธีการเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นตัวอื่น ซึ่งได้เขียนไว้ในหัวข้อก่อนหน้านี้แล้วนะครับ

หมายเหตุ :
คุณคงจะต้องเรียนรู้การใช้งาน excel เพื่อจะสามารถช่วยในการวางแผนล่วงหน้าว่า
ถ้าราคาซื้อเท่านี้ จำนวนซื้อเท่านี้
ราคาขายเท่านี้ จำนวนขายเท่านี้
ถ้าหุ้นขึ้นไปมากๆ เราจะเหลือกำไรไหม
ถ้าหุ้นลงไปมากๆ เราขายไปแล้วซื้อกลับคืนมา เราได้ส่วนต่างของราคา เป็นเงินเท่าไหร่ (ซึ่งน่าจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักลงทุนทุกๆ ท่านนะครับ)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘