บรรทัดสุดท้ายที่น่าสงสัย

กำไรของบริษัทนั้นมักเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนหลาย ท่านรวมทั้งผมเองด้วย บริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทจะต้องรายงานผลประกอบการมาที่ตลาดหลักทรัพย์ทุกๆ ไตรมาส และกำไรที่บริษัทต่างรายงานมานี่เองก็จะกลายมาเป็นค่า PE ratio ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เป็นที่นิยมของเหล่านักลงทุนทั้งหลาย


นักลงทุนหลายท่านนิยมหาอัตราการเติบโตจากกำไรของบริษัท เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกิจการ ความน่าลงทุน ครับ ใครๆก็ต้องการลงทุนในกิจการที่เติบโตต่อเนื่องกันทั้งนั้น เพราะมูลค่าของกิจการมันจะสะท้อนจากผลกำไรทั้งสิ้น
 นักลงทุนส่วนใหญ่ เชื่อกันมากว่าราคาหุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นหากว่าบริษัทจะประกาศผลการดำเนิน งานที่ดีขึ้น แต่จริงแล้วไม่แน่เสมอไปทุกครั้งครับ เพราะว่ามันมีคำถามต่อว่า กำไรที่บริษัทประกาศออกมานั้นมีคุณภาพมากแค่ไหน ไม่แน่ว่าผู้บริหารของบริษัทอาจใช้กลวิธีทางบัญชีสร้างตัวเลขที่สวยหรูเพื่อ ล่อให้แมงเม่าเข้ามาติดกับดักก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็เพราะนักลงทุนหลายท่านยังไม่เข้าใจแท้จริงว่า กำไรที่มีคุณภาพนั้นมีลักษณะอย่างไร วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องพิจารณากำไรที่ บริษัทประกาศออกมานั้นมีคุณภาพหรือไม่
ท การนำเสนอผลดำเนินการของบริษัท จะทำผ่านงบการเงินที่จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่ผู้บริหารสามารถเลือกได้ว่า จะใช้มาตรฐานใด เช่น การรับรู้รายได้ ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สามารถเลือกการรับรู้รายได้ตามสัดส่วนงานที่แล้วเสร็จ หรือ รับรู้รายได้เมื่อได้ส่งมอบงานให้แก่ลูกค้าแล้ว แค่นี้การบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกันในแต่ละงวดบัญชีแล้วครับ ยังมีอีกหลายส่วนเช่นการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ส่วนนี้มาตรฐานการบัญชีอนุญาตให้ผู้บริหารพิจารณาตั้งสำรองได้ตามข้อมูลใน อดีต การตั้งสำรองในส่วนต่างๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับกำไรของบริษัทอย่างเห็นได้ชัด  และเป็นที่นิยมนำมาตบแต่งบัญชีกันมาก
ท กำไรที่ประกาศออกมานั้นยังไม่ได้ หักเงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร แน่นอนว่าเวลาบริษัทซื้อวัตถุดิบ หรือขายสินค้า บริษัทยังไม่ได้จ่ายหรือรับเงินในเวลานั้นๆ แต่การจ่ายหรือรับเงินค่าสินค้านั้นจะเกิดภายหลังรายการนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องมีเงินสำรองเพื่อไว้ชำระค่าสินค้า เงินเดือน อื่นอีกมากมาย การบำรุงรักษา หรือซื้อเครื่องจักใหม่ๆมาใช้ในการผลิตนั้นบริษัทก็จำเป็นจะต้องสำรองเงิน เอาไว้สำหรับการนี้เช่นกัน หลายบริษัทประกาศผลประกอบการออกมามีกำไรเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ปริมาณลูกหนี้ก็เกิดขึ้นมากเช่นกัน และบางบริษัทแย่ไปกว่านั้นคือมีการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้สูงกว่าการเติบโตของ รายได้ บางบริษัทประกาศกำไรออกมามีกำไรออกมาเพิ่มขึ้น มีการบริหารสินค้าคงเหลือ และการจัดเก็บค่าสินค้าจากลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ กำไรที่เป็นตัวเงินจริงๆนั้นจะสูงกว่ากำไรที่ประกาศออกมามาก อันนี้จะเป็นแต้มต่อของบริษัทนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะบริษัทสามารถนำเงินสดส่วนเกินไปใช้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ เช่นการซื้อวัตถุดิบเป็นเงินสดจะได้ส่วนลด3% และถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ทุกเดือน ได้ส่วนลดครั้งละ3% ทั้งปีบริษัทสามารถลดต้นทุนได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากเลย อันนี้จะส่งผลให้กำไรเติบโตได้ดี มูลค่าของกิจการจะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก
ท กำไร ที่ประกาศออกมานั้นไม่ได้หักผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อเอาไว้ แน่นอนครับว่าในทุกประเทศย่อมมีอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะบ้านเราเวลานี้อัตรา เงินเฟ้อสูงเอาเรื่อง บริษัทที่ประกาศผลกำไรออกมาถ้าเติบโตแล้วพอๆกับอัตราเงินเฟ้อก็เห็นทีว่า บริษัทนั้นก็ไม่ได้โตอะไรเลย ยิ่งแย่ไปกว่านั้นบางบริษัทโตน้อยหรือขาดทุน บริษัทนั้นเท่ากับถูกลดมูลค่าลงในทันที จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรที่เมื่อต่างชาติขายหุ้นแม้ว่าPEบ้านเราจะต่ำจน ไม่รู้จะต่ำอย่างไงแล้ว ก็ยังไม่น่าสนใจสำหรับต่างชาติเลย
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปคือ ไอ้เจ้าบรรทัดสุดท้ายที่ชอบดูกันนี่ จะดูกันต่อไปก็ไม่ผิดกติกา แต่ขอให้นำข้อสังเกตง่ายๆสามข้อนี้ไปพิจารณาด้วยครับ เพื่อการคำนวณหาค่า PE Ratioที่ได้นั้นจะสะท้อนค่าที่น่าเชื่อถือ และสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างดี และที่สำคัญอย่าลืมนะครับว่า การคำนวณค่าPE Ratioนั้นเป็นการนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาใช้ มันไม่ได้หมายความว่ากำไรในอนาคตนั้นจะดีกว่าหรือแย่กว่ากำไรที่เกิดขึ้นมา แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการประมาณกำไรในอนาคตเพื่อหาค่าPE Ratio ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องเข้าใจธุรกิจนั้นๆดีเอามากๆไม่อย่างนั้นไม่มีทางถูกได้ แน่ๆ และจะเกิดปัญหาตามมาว่า ทำไมหุ้นนี้PEก็ต่ำแต่ราคาเอาแต่ลงไม่เห็นขึ้นสักที อย่างในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและเดินเรือที่นักวิเคราะห์ตะบี้ตะบันเชียร์กันจน เลิกไปแล้วนี่ไง ผมจะบอกให้ก็ได้ว่านักลงทุนที่เขาเข้าใจธุรกิจนั้นเขาขายออกกันไปหมด ราคาก็ลงมาแล้ว แต่กำไรของกิจการนั้นสามเดือนออกที และจะค่อยๆลดลงมารู้อีกทีกำไรทั้งปีลดไปมาก แต่เราเอากำไรของสามไตรมาสก่อนมาเฉลี่ยเป็นกำไรทั้งปีซึ่งกำไรสามไตรมาสก่อน ยังสูงมาเฉลี่ยไตรมาสปัจจุบันที่ต่ำลงตัวเลขเฉลี่ยก็ยังสูงกว่า ดังนั้นเมื่อราคาลดลง กำไรเฉลี่ยในอดีตยังสูงอยู่ PE Ratioก็ยังต่ำอยู่นั้นเอง และเชื่อผมไหมว่าราคาหุ้นเหล่านี้จะยังคงถูก(PE ต่ำ)ต่อไปอีกนาน เพราะมันเป็นของที่ไม่น่าสนใจแล้วไงละครับ จึงไม่ค่อยมีใครซื้อและกล้าให้ราคาแพงๆอีกนาน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘