ตะแกรงร่อนหุ้น

การลงทุนทุกชนิดไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งที่เราจะต้องทำเป็นประการแรกเลยก็คือการคัดสรรสินทรัพย์ที่เราจะลงทุน แน่นอนว่าหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เองก็ต้องผ่านการคัดสรร เช่นกัน
หากมองเข้าไปในการลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ทุก วันนี้ บริษัทโบรกเกอร์ต่างๆก็จะมีบริการบทวิจัยทั้งทางพื้นฐานและทางเทคนิคเอาไว้ บริการนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของตนอยู่มากมาย นักลงทุนหลายรายก็ใช้บริการบทวิจัยจากบริษัทโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการอยู่
สำหรับ นักลงทุนแบบเน้นมูลค่าหรือValue Investor แล้วอาจจะทำอะไรมากกว่านั้นอีกเล็กน้อย หลักปฏิบัติทั่วๆไปของ Value Investor ไม่ใช่แค่เพียงซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี และถือไว้เป็นเวลานานๆหรือที่มักเรียกกันว่านักลงทุนระยะยาว แต่Value investor จะมีหลักปฏิบัติก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้นของกิจการใดๆก็ตามดังนี้

หนึ่ง รู้จักและเข้าใจบริษัทที่จะลงทุนเป็นอย่างดี หลัก ปฏิบัติข้อนี้สำคัญมาก แค่เรารู้ว่าบริษัทนี้ผลิตและขายสินค้าหรือบริการอะไรแค่นั้นไม่พอครับ เราต้องรู้ให้ลึกเข้าไปอีกว่าธุรกิจที่บริษัทดำเนินอยู่มีความสามารถในการ แข่งขันที่คงทนแค่ไหน มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร การแข่งขันรุนแรงมากน้อยเพียงใด ตลาดอยู่ที่ไหนและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร

สอง ผู้บริหารไว้ใจได้แค่ไหน หลักปฏิบัติข้อนี้ก็มีความสำคัญเช่นกันและเป็นข้อที่วิเคราะห์ได้ยากมาก สิ่ง ที่Value Investor มักจะใช้สำหรับประเมินผู้บริหารคือการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้บริหารผ่าน ข้อมูลต่างๆ เช่นข่าวจากสื่อต่างๆ งบการเงิน และรายงานประจำปี การประชุมผู้ถือหุ้น

สาม ตรวจสอบผลดำเนินงานที่ผ่านมาให้มากที่สุด เรา สามารถตรวจสอบผ่านงบการเงินย้อนหลังเพื่อดูความแข็งแกร่งทางการเงิน ประวัติการจ่ายเงินปันผล ประวัติการลงทุน สินค้าคงคลัง ยอดขาย กำไร บริษัทที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งมักจะมีเงินสดในปริมาณพอเหมาะ ยอดขายเมื่อเทียบกับสินค้าคงคลังต้องเป็นสัดส่วนปกติทางธุรกิจ ไม่น้อยเกินไปจนอาจเกิดปัญหาสินค้าไม่พอขาย ไม่มากเกินไปจนเป็นภาระทางการเงินในการเก็บสินค้า กำไรต่อยอดขายควรมีสัดส่วนที่สูงขึ้นหรืออย่างน้อยต้องเท่าเดิม ข้อนี้จะเป็นดัชนีบอกให้รู้ว่าบริษัทมีความสามรถในการแข็งขันที่คงทน แม้ว่าจะมีการแข็งขันที่สูงขึ้นก็สามารถปรับตัวเพื่อให้สามารถแข็งขันได้และ ยังรักษาระดับกำไรได้ดี ลูกหนี้การค้า และหนี้สงสัยจะสูญก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบ เมื่อพบอะไรที่ผิดปกติเราจะต้องตรวจสอบในรายละเอียดให้มากเข้าไปอีก

สี่ ราคาเป็นสิ่งสุดท้ายที่Value Investorจะดู ในขณะที่นักลงทุนอื่นมักจะดูราคาเป็นอย่างแรก เมื่อเราคัดสรรหุ้นได้ตามสามข้อแรกแล้วเรากลับมาดูที่ราคาว่า ณ ราคาปัจจุบันน่าสนใจซื้อหรือไม่ Value Investor มักจะคำนวณมูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value เพื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นเสมอ ทั้งนี้เพื่อหาส่วนต่างความปลอดภัยหรือ Margin of safety ในบางครั้งหุ้นที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าเป็นหุ้นที่ดีแต่ราคามีส่วนต่าง ความปลอดภัยต่ำหรือไม่มีเลย Value Investorจะคอยหาจังหวะลงทุนเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงจนมีส่วนต่างความปลอยภัย ที่เหมาะสม เพราะหุ้นที่ดีไม่ได้เป็นการลงทุนที่ดีเสมอไป
ห้า สิ่งสุดท้ายที่ Value Investor ปฏิบัติคือ ถือหุ้นให้นานที่สุดเพื่อให้บริษัทที่ถืออยู่แสดงศักยภาพในระยะยาวออกมา Phillip Fisher บอกเอาไว้ว่าต้องถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปี ระยะเวลาที่ต่ำกว่านั้นจะไม่พอสำหรับโครงการหรือสิ่งต่างๆที่บริษัททำอยู่จะ แสดงผลระยะยาวออกมา

หลักปฏิบัติทั้งหมดนี้เป็นหลักง่ายๆที่นำไปใช้ ปฏิบัติกันได้ในการลงทุนทุกรูปแบบ แม้กระทั่งในการดำเนินชีวิตประจำวัน ในการซื้อสินค้าทั่วๆไปเรามักจะเลือกและเปรียบเทียบราคากับความคุมค่าของ สินค้านั้นๆเสมอ หากสามารถต่อรองราคาได้เราก็จะทำกัน แม้แต่ซื้อผลไม้ตามตลาดเรายังคัดสรรเปรียบเทียบและต่อราคากันเลยครับ แต่นี่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของเราทำไมเราจะไม่ทำล่ะครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘