ลงทุนแบบเน้นคุณค่า......ใช้ได้จริงหรือ?

การลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เราจะเห็นรูปแบบการลงทุนหลายแบบมาก นักลงทุนบางท่านถนัดที่จะใช้กราฟหรือลงทุนแบบเทคนิค(Technical Investment) บางท่านนิยมลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Investment) บางท่านหนักกว่านั้นคือ เอาแบบไหนก็ได้ขอให้บอกมาเถอะว่าหุ้นตัวไหนดีและราคาจะขึ้น แบบนี้เรียกว่าการลงทุนประเภท ข.(Whisper Investment)
เนื่อง จากนักลงทุนแต่ละท่านมีความชอบ ความถนัด และเชื่อมั่นในหลักการลงทุนแต่ละแบบไม่เหมือนกันจึงเลือกลงทุนแต่ละรูปแบบ ต่างกัน แบบเทคนิคเชื่อในเรื่องจิตวิทยามวลชน เส้นกราฟจะบอกถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อหุ้น รวมไปถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ส่วนแบบที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานเชื่อในเรื่องเศรษฐกิจทั้งภาพใหญ่หรือมหภาค และภาพย่อยๆระดับบริษัทหรือจุลภาค ส่วนประเภท ข. เชื่อหมดเลยขอให้บอกมาเถอะ

เมื่ออาทิตย์ก่อนผมได้อ่านกระทู้ที่มีสมาชิกของ http://www.thaivalueinvestor.com/ ท่านหนึ่งเขียนถามเพื่อนๆในกระทู้ว่า เขาเคยลงทุนหุ้นแบบใช้ปัจจัยพื้นฐานและหันมาใช้ปัจจัยทางเทคนิคเมื่อปีที่ แล้วปรากฏว่าเพื่อนสมาชิกท่านนั้นลงทุนแบบเทคนิคแล้วได้รับผลตอบแทนสูงมาก ครับ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในการลงทุนทั้งสองแบบว่าแบบไหนดีกว่ากัน และถ้าลงทุนแบบใช้ปัจจัยพื้นฐานแล้วเมื่อหุ้นขึ้นมากๆแล้ว จะขายแล้วมารอซื้อกลับเมื่อราคาลงมากันไหม?

จริงๆแล้วคำถามนี้มีมา นานแล้วครับ และเพื่อนสมาชิกท่านนี้ไม่ใช้ท่านแรกที่สงสัยและถามมา มันเป็นคำถามที่ตอบยากเอาการทีเดียวครับ และมีเพื่อนๆหลายท่านพยายามตอบแต่คงยังไม่ชัดนักจึงได้เกิดคำถามแบบนี้ขึ้น เรื่อยมา
จะว่าไปแล้วผมเองเคยถามตัวเองในเรื่องนี้มาตลอดระยะเวลาที่ผม ลงทุนในหุ้นมาเหมือนกันครับ ว่าที่เราลงทุนแบบเน้นคุณค่านี่มันได้ผลตอบแทนดีหรือไม่? จนในที่สุดผมก็ได้คำตอบที่ให้กับตัวเองได้ครับ

คำตอบที่ผมให้กับตัว เองก็คือว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ผมลงทุนเป็นหลักของผมนี้ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว เพราะผมจะต้องใช้ความละเอียด รอบครอบ ตรวจตราบริษัททุกซอกทุกมุม ก่อนจะจ่ายเงินร่วมหุ้นกับเจ้าของเดิม และต้องมั่นใจว่าผู้บริหารเก่งและซื่อสัตย์ และผมต้องหวังผลตอบแทนระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนแบบทบต้น(Compounding Effect) ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์

ต่อ ข้อถามที่ว่าราคาขึ้นไปสูงแล้วจะขายหุ้นไปก่อนแล้วค่อยกลับมาซื้อคือเมื่อ ราคาต่ำหรือไม่ สำหรับผมแล้ว เนื่องจากผมอิงอยู่บนหลักที่ว่า กิจการที่ดี ที่ทำเงิน เจ้าของกิจการไม่คิดเลิกกิจการอยู่แล้ว แต่สำหรับกิจการที่ไม่ดี ไม่ทำเงิน ผมไม่เชื่อว่าเจ้าของอยากจะทำต่อ (ไม่ทำต่อไม่เป็นไร ยังเอามาหลอกขายชาวบ้านนี่ซิ) ดังนั้นคำตอบของผมคือถ้าเป็นหุ้นที่เยี่ยมยอดแล้วละก็ยังไงก็ไม่ขายเด็ดขาด ขึ้นก็ไม่ขาย ลงก็ไม่ขาย(ลงมามากๆผมซื้อเพิ่ม)

ที่จริงแล้วสำหรับ นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ปกติจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราคาเท่าไร พวกเขาจะสนใจผลประกอบการที่จะประกาศออกมาในแต่ละไตรมาส แต่ละปี สนใจอนาคตของกิจการ สนใจพฤติกรรมของผู้บริหาร สนใจกำไร กระแสเงินสดของบริษัท และเงินปันผลมากกว่าครับ

เหตุผลต่างๆที่ผม กล่าวมานี้มาจากหลักการที่Warren Buffettให้เหตุผลกับผู้ถือหุ้น Berkshire Hattaway เสมอ แต่ผมเพิ่งเข้าใจความข้อนี้เมื่อผมเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองเมื่อปีที่ แล้วนี่เอง กิจการแรกของผมออกมาย่ำแย่ ยิ่งทำยิ่งเสียเงิน กว่าจะเลิกได้เสียไปไม่น้อย กิจการต่อมายิ่งทำยิ่งได้เงิน อย่างนี้ให้เลิกคงไม่ยอม

นี่คือเหตุผลที่ผมตอบตัวเองครับ สรุปได้ว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอาจไม่ใช่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่มันเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด(ในความคิดของผม) และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว ที่ผ่านมาการลงทุนของผมไม่ค่อยได้เสียวเท่าไรนัก แต่มักได้ลุ้นว่ากำไรของบริษัทจะออกมาเพิ่มขึ้น ลดลงเท่าไร และผมจะได้ปันผลเท่าไร เท่านั้นเองครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘