จินตนาการกับการลงทุน

การที่จะเป็น Value Investor ที่มีความสามารถสูงได้นั้น   สิ่งหนึ่งที่จะเป็นประโยชน์ก็คือ   การ  “จินตนาการ”    ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องของความเพ้อฝันและเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ ได้    แต่จริง ๆ  แล้ว  การจินตนาการนั้นสามารถที่จะฝึกฝนกันได้   ประเด็นสำคัญก็คือ   เราต้องรู้เรื่องอื่น ๆ  มากพอที่จะทำให้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเรื่องของบริษัทจดทะเบียนและหุ้น ที่เราสนใจได้   เมื่อเกิดจินตนาการ  เราก็สามารถจะมองต่อไปได้ว่าบริษัทหรือหุ้นที่เราสนใจนั้น   ในที่สุดน่าจะเป็นอย่างไร    แน่นอน   จินตนาการกับของจริงคงจะไม่เหมือนกัน   แต่มันก็ให้ภาพที่จะทำให้เราเห็นทิศทางเดินของหุ้น     ผมพูดแบบนี้อย่านึกว่าเป็นเรื่องประหลาด   ลองนึกทบทวนดูก็จะพบว่าแม้แต่ในเรื่องทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ   เราก็พบว่า การใช้จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์ค้นพบทฤษฎีหรือสร้างสิ่ง ประดิษฐ์ที่สำคัญต่าง ๆ  ขึ้นในโลก    พูดก็พูด  ถ้าคนไม่จินตนาการว่าจะสามารถบินได้อย่างนก   เราจะมีการประดิษฐ์เครื่องบินหรือครับ?
ใน เรื่องของหุ้นนั้น   เนื่องจากว่าผมเน้นการลงทุนในตัวธุรกิจ   ดังนั้น   ความสำเร็จของธุรกิจโดยเฉพาะในระยะยาวเป็นสิ่งที่ผมจะมองหา   บริษัทที่จะประสบความสำเร็จนั้นจะต้องต่อสู้และแข่งขันกับบริษัทอื่น ๆ   ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันและที่อยู่ในธุรกิจอื่นแต่สินค้าอาจจะมาทดแทน สินค้าของบริษัทได้   นอกจากนั้น  ธุรกิจยังต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายและสังคมและอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อม ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา   การแพ้หรือชนะในทางธุรกิจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ มากมายและที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  “กลยุทธ์ในการต่อสู้”  กับคู่แข่ง   ผู้ชนะคือผู้ที่จะรุ่งเรืองต่อไป   ผู้แพ้จะเสียหายย่อยยับ   การแข่งขันทางธุรกิจนั้นไม่มีคำว่าปราณีหรือเปิดให้คู่แข่งมีโอกาสฟื้นตัว จากความผิดพลาด   ลักษณะการแข่งขันของธุรกิจนั้น   ผมรู้สึกว่ามันเหมือนกับการทำสงคราม    ดังนั้น   สำหรับผมแล้ว   บ่อยครั้ง  เวลาผมคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัทและตัวหุ้นที่ผมสนใจ   ผมมักจะจินตนาการถึงเรื่องของสงคราม   และสงครามที่ผมมักคิดถึงก็คือ  สงครามโลกครั้งที่สอง  เพราะมันคือสงครามที่  “ครบเครื่อง”  ที่สุด
บาง คนชอบจินตนาการเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจโดยเปรียบเทียบกับสงครามสามก๊ก เช่นเดียวกัน  บางคนชอบใช้กลยุทธ์การทำสงครามของซุนหวู่มาจินตนาการว่าบริษัทไหนจะชนะใน สงครามการค้า     หรือบางคนอาจจะไม่ใช้เรื่องของสงครามเลยแต่อาจจะจินตนาการไปถึงเรื่องกีฬา อย่างเช่นฟุตบอลหรือเทนนิสหรืออะไรก็แล้วแต่   ทั้งหมดนั้นผมคิดว่าไม่เป็นปัญหาถ้าคนที่ทำนั้นได้ศึกษาประวัติศาสตร์และ กลยุทธ์ต่าง ๆ  ที่มีการใช้และรู้ว่าฝ่ายไหนแพ้หรือชนะเพราะอะไรและธุรกิจที่เราดูอยู่นั้น น่าจะประยุกต์เข้ากับเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างใกล้เคียงแค่ไหน
นอก จากสงครามแล้ว   ผมยังชอบจินตนาการว่าบริษัทจะเป็นอย่างไรในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้าหรือแม้แต่อีกหลายสิบปีข้างหน้า   การจินตนาการนั้น  จะต้องไม่เพ้อฝัน   เราจะต้องมีเหตุผลประกอบเช่น   การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของคนที่กำลังเกิดขึ้นและเราคิดว่าจะดำเนินต่อ ไป   ความเข้มแข็งของบริษัท   ความสามารถและศักยภาพของผู้บริหาร  และอื่น  ๆ   อีกมาก   ในการจินตนาการนั้น    สิ่งที่ผมมักจะใช้ก็คือ   ผมมักจะมองที่  “พื้นฐาน”  จริง ๆ  ของธุรกิจหรือพูดให้เท่ ๆ  อาจจะเรียกว่ามองกันในระดับ  Mission หรือภารกิจของบริษัทที่สนองตอบความต้องการของลูกค้าและสังคม    เพราะในระยะยาวแล้ว   ผลิตภัณฑ์อาจเปลี่ยนแปลงได้   แต่ภารกิจของบริษัทที่ยิ่งใหญ่นั้นมักไม่เปลี่ยนแปลง   ดังนั้น  ถ้าเราเริ่มจากพื้นฐาน   เราจะสามารถจินตนาการไปได้ไกลและจะเห็นภาพของบริษัทได้ว่ามันจะใหญ่หรือเล็ก แค่ไหน     ในหลาย ๆ  ครั้ง   ผมก็มักจะเปรียบเทียบบริษัทที่ผมมองอยู่ว่า   มันจะมีโอกาสเป็นบริษัทที่คล้าย  ๆ   กับบริษัทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่มีอยู่ในประเทศอื่นที่พัฒนาแล้วหรือไม่
ถ้า จะถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรามีจินตนาการที่ดี    ผมเองก็ตอบไม่ได้ชัด   บางทีบางคนอาจจะมีจินตนาการได้ดีกว่าคนอื่นและเป็นความสามารถเฉพาะตัว    แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากสำหรับผมก็คือ  การที่เราเป็นคนที่มีความรู้กว้างและหลากหลายมาก   ซึ่งความรู้เหล่านั้นต่างก็มักจะมาจากการอ่านหนังสือที่หลากหลายโดยเฉพาะ อย่างยิ่งเป็นหนังสือที่   “ปฏิวัติ”  ความคิดในเรื่องนั้น ๆ   ตัวอย่างของหนังสือก็เช่น  The Intelligent Investor ของ เบน  เกรแฮม ที่เราพูดถึงเสมอ   นั่นก็คือในเรื่องของการลงทุน   แต่ในเรื่องอื่น ๆ  เราก็ควรจะรู้อย่างเช่นในเรื่องของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ  ชาร์ล  ดาร์วินส์   หรือเรื่องอื่น ๆ  อีกมากมาย   
นอก จากความรู้ต่าง ๆ  แล้ว    ผมคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นความรู้ที่สำคัญมากในการที่จะทำให้เรามีจินตนาการ ที่ดี    บางคนอาจจะไม่ค่อยแน่ใจเพราะคำว่าวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนในชั้นเรียน นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรที่จะนำมาใช้ในการจินตนาการได้    แต่ในความหมายของผม  ประวัติศาสตร์ก็คือเรื่องราวต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นและมีคนบันทึกไว้  ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการเมืองการปกครองแต่รวมถึงเรื่องของเศรษฐกิจ   เรื่องของธุรกิจ  เรื่องของสังคม   และอื่น ๆ  อีกมาก   เรื่องราวเหล่านี้   เมื่ออ่านแล้ว   สิ่งที่ผมมักทำก็คือ   คิดไปถึงภาพอดีตของยุคสมัยนั้นว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร     นี่อาจจะเป็นวิธีการฝึกจินตนาการแบบหนึ่งของผม
เรื่อง ของจินตนาการนั้น   ว่าที่จริงไม่มีกรอบ   สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นประเด็นเพียงน้อยนิดของสิ่งที่ผมพอจะนึกได้   วิธีหรือกระบวนการสร้างจินตนาการของแต่ละคนอาจจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผมไม่มีอะไรจะเถียงเลย   สิ่งที่ผมต้องการจะพูดมากที่สุดก็คือ   ในการลงทุนนั้น    การจินตนาการเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ    สำหรับผมแล้ว   หุ้นเกือบทุกตัวที่ซื้อ  มักจะเกิดจากจินตนาการด้วย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘