กระทิงดุ

การปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นในรอบนี้อาจจะพูดได้ว่ามาโดยคาดไม่ถึง  ถ้าจะพูดเป็นภาษานักเลงหุ้นก็ต้องบอกว่ามันเหมือนกับกระทิงที่  หลงป่า   ออกมาในย่านชุมชนและทำให้ผู้คน  แตกตื่น  กันไปทั่ว   แต่เป็นการแตกตื่นที่เหมือนกับมหกรรมการวิ่งปะปนไปกับกระทิงในประเทศสเปน   มันเป็นความสุข  ความสนุก  และความน่าหวาดเสียว  ที่เราไม่ได้สัมผัสมานาน   ถ้านับจากช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างหนักในเดือนตุลาคมปีที่แล้วที่ดัชนีอยู่ที่ประมาณ  400 จุด  ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2552 นี้  ที่ดัชนีเท่ากับ 605 จุด  ดัชนีตลาดหุ้นของเราก็เพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ  50%  ภายในเวลาไม่ถึงปี  และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นทั้ง ๆ  ที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ  ก็ยังอยู่ในอาการ  โคม่า    ผมคงไม่พูดว่าดัชนีตลาดหุ้นต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร  เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำนายได้ยากมาก   เหนือสิ่งอื่นใด  ตอนที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นเราก็มองไม่ออก  ดังนั้นเราจะบอกได้อย่างไรว่าต่อจากนี้ไปตลาดจะขึ้นต่อไปหรือจะลงแล้ว ? 
                สิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้ก็คือเรื่องของความรู้สึกของผมและบรรยากาศของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ  นี้เปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2540  
 
                วิกฤติตลาดหุ้นรอบที่แล้วนั้น  คนที่เจ็บตัวมากที่สุดก็คือคนรวยโดยเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงการเงินและตลาดหุ้น  และในช่วงนั้น  คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นก็อยู่ในแวดวงคนกลุ่มดังกล่าวเท่านั้น   ดังนั้น  เมื่อเกิดวิกฤติตลาดหุ้น  การซื้อขายหุ้นก็หดหายไปมากมายเพราะคนที่จะเล่นหุ้นต่างก็ไม่มีเงินสดเหลือ  ว่าที่จริงเฉพาะหนี้ที่มีอยู่ก็ทำให้คนมีเงินแทบเอาตัวไม่รอด  ในช่วงนั้น  ผมเองลงทุนโดยที่แทบไม่ได้พูดคุยกับนักลงทุนอื่นเลย  ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นก็มีน้อยมาก  เวบไซ้ต์เกี่ยวกับหุ้นนั้นเรียกได้ว่ายังไม่มี   โลกของการลงทุนของผมนั้นเหมือนอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ  การจัดสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนมาฟังเพียงพอ
 
                วิกฤติในรอบนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง  คนรวยส่วนใหญ่ก็ยังรวยเหมือนเดิม  ที่สำคัญ  เขาไม่ใคร่จะมีหนี้สินมากนัก   หลาย    คนและหลาย  ๆ บริษัทมีเงินสดในมือมากมาย  พวกเขาพร้อมลงทุนถ้าเห็นโอกาสในการทำกำไร   ยิ่งกว่านั้น  ในวิกฤติรอบนี้  เรามีคนกินเงินเดือนที่เป็นคนชั้นกลางจำนวนมากที่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นก่อนหน้านี้  คนเหล่านี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนักเพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพ  เป็นผู้บริหารที่บริษัทยังต้องรักษาไว้แม้ว่ายอดขายจะลดลงไปบ้าง   ดังนั้น  คนเหล่านี้จึงไม่หนีออกจากตลาดหุ้น  ตรงกันข้าม  พวกเขากลับมองหาโอกาสในการลงทุนในยามวิกฤติ  ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ก็คือ  ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่ได้ลดลงมากหรือยาวนานนัก   แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ   กิจกรรมเกี่ยวกับการสัมมนาและความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นนั้น   มีคนเข้าร่วมมากมาย  ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นสูงยิ่งกว่าในช่วงใด ๆ 
 
                ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว  ตลาดหุ้นที่ขึ้นเป็นกระทิงในรอบนี้จึงเป็นการซื้อขายที่เกิดจากคนในประเทศมากกว่านักลงทุนต่างประเทศมาก  ตัวเลขการซื้อขายหุ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้  บอกให้รู้ว่า  ฝรั่ง ซื้อขายอยู่ในหลักประมาณไม่เกิน 15%  เท่านั้นและพอ ๆ  กับนักลงทุนสถาบัน  ในขณะที่ในอดีตนักลงทุนต่างชาติจะซื้อขายกันคิดเป็นประมาณ 25-30%  ของตลาดโดยรวม 
 
                ทั้ง หมดนั้นอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและมา พร้อมกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงลิ่วเมื่อเปรียบเทียบกับการฟื้น ตัวแบบชั่วคราวหรือที่เรียกกันว่า  Bear Rally ใน ช่วงวิกฤติปี 2541 ถึง 2542 ที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเพียงปีเดียวจาก ดัชนีประมาณ 200 จุดเป็น 400- 500 จุดก่อนจะตกลงมาเป็นตลาดหมีใหม่อีกครั้งในปี 2543     ดังนั้น  ตลาดกระทิงรอบนี้   ในความเห็นของผม  ไม่น่าจะเป็น  Bear Rally  อย่างน้อยก็ในระดับดัชนีหุ้นระดับนี้
 
          นอกจากเรื่องของเม็ดเงินและสภาพคล่องที่มากมายแล้ว  ความเสี่ยงของการลงทุนในวิกฤติรอบนี้ก็ต่ำกว่ารอบที่แล้วมาก  ที่ผมพูดถึงความเสี่ยงนั้น  ผมหมายถึงตัวบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ นั้น   ต่างก็มีฐานะทางการเงินมั่นคงมากเพราะบริษัทมีหนี้น้อยน่าจะเป็นประวัติการณ์   นอกจากฐานะทางการเงินแล้ว  ผลการดำเนินงานของบริษัทเองก็ค่อนข้างดี   บริษัทส่วนใหญ่ยังมีกำไรในระดับที่น่าพอใจ   ที่สำคัญก็คือ  บริษัทส่วนใหญ่สามารถจ่ายปันผลได้ค่อนข้างงดงามเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  คือจ่ายได้ถึง 4-5% ต่อปีในขณะที่ดอกเบี้ยธนาคารนั้นลดลงเหลือเพียง 1-2% เท่านั้น   ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นระยะยาวทั้งหลาย  การซื้อหุ้นในช่วงนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายหนักมีน้อย   ในขณะที่ในช่วงปี 2540-41 การลงทุนในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ๆ  ทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก  เพราะมันอาจจะล้มละลายได้เมื่อดูจำนวนหนี้สินที่ล้นพ้นตัว  ไม่ต้องพูดถึงปันผลที่บริษัทต่างก็งดจ่ายกันเป็นแถว

                 มีข้อโต้แย้งว่ากระทิงรอบนี้อาจจะไม่ยั่งยืนเนื่องจากดัชนีระดับนี้ทำให้ค่า  PE ตลาดของเราสูงถึง 20 เท่าเข้าไปแล้ว  ซึ่งในอดีต  PE ระดับนี้เป็นค่าที่สูงมากกว่าปกติมาก   เรื่องนี้ผมคิดว่ามีคำอธิบายได้  นั่นคือ  กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงวิกฤตินั้นมักจะลดลงชั่วคราวซึ่งทำให้ค่า PE สูงขึ้นผิดปกติ   แต่ถ้าดูสถิติกำไรของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลังก็จะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในอดีตเช่นในช่วงปี  2547 ถึงปี 2550 ก็จะพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรรวมแต่ละปีประมาณ 450,000-540,000  ถ้าเราคิดว่าในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวกำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะกลับมาที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท  ก็แปลว่าค่า PE ของตลาดก็กลับมาอยู่ที่ไม่เกิน  10 เท่า   สิ่งนี้ประกอบกับค่า PB ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหมาะสมกว่าในการวัดความถูกความแพงของหุ้นในภาวะผิดปกติ  อยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า ก็เป็นตัวเลขที่แสดงว่าดัชนีหุ้นในระดับนี้ยังไม่แพงเกินสถิติในอดีต  และนั่นนำมาสู่ข้อสรุปของผมว่า   กระทิงตัวนี้  น่าจะเป็นกระทิงตัวจริงและเป็นกระทิงที่ดุครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘