ของขึ้น

ในช่วงที่ สินค้าโดยเฉพาะที่เป็นโภคภัณฑ์ต่าง ๆ  ทั้งที่เป็นสินค้า  “หนัก” เช่นน้ำมัน  ถ่านหิน   เหล็ก  และโลหะธาตุทั้งหลาย   และที่เป็นสินค้า  “เบา” เช่น  ข้าว  ถั่วเหลือง  มันสำปะหลัง   น้ำมันพืช   ต่างก็มีราคาเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เคยประสบมาก่อน   นักลงทุนแบบ Value Investor  หลายคนก็เริ่มมองว่านี่น่าจะทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนที่อาจจะสามารถทำกำไร ได้เร็วสำหรับหุ้นบางตัว   เราลองมาดูว่าหุ้นแบบไหนที่จะได้ประโยชน์
ประโยชน์ ที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทในกรณีที่สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาปรับตัวขึ้นเร็วและมาก ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า  Inventory Gain  หรือกำไรจากสต็อกวัตถุดิบหรือสินค้าที่บริษัทมีอยู่   เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือ   ในการผลิตหรือขายสินค้านั้น   บริษัทจะต้องมีสินค้าคงคลังจำนวนหนึ่งที่บริษัทต้องซื้อมาเพื่อทำการผลิต เป็นสินค้าสำเร็จรูปหรือซื้อมาตุนเอาไว้เพื่อที่จะขายต่อให้ลูกค้า   ในระหว่างที่กำลังรอการผลิตหรือรอขายให้ลูกค้านั้น   สินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาที่บริษัทซื้อ มานั้นมีราคาต่ำกว่ามาก   ผลก็คือ   เมื่อบริษัทขายสินค้าก็จะขายไปในราคาใหม่ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรมากกว่า ปกติ     ยิ่งบริษัทมีสินค้าคงคลังในราคาต่ำและมีปริมาณมากเท่าไร   กำไรของบริษัทที่จะออกมาก็จะมากขึ้นเท่านั้น
ช่วง เวลาที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นไป    กับช่วงเวลาที่มีการประกาศงบการเงินนั้น  มักมีระยะห่างกันเป็นเดือนหรือหลายเดือน   ดังนั้น   ถ้าเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าผลกระทบจาก  Inventory Gain  จะมีมากและกำไรของบริษัทในไตรมาศที่จะถึงนั้นจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด   เราก็สามารถเข้าไปเก็บหุ้นไว้ก่อน  และเมื่อผลประกอบการออกมาเติบโตแบบก้าวกระโดดจริง   ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น   เราก็สามารถขายหุ้นทำกำไรได้
ประเด็น ที่ต้องระวังมากก็คือ   ไม่ใช่เราคนเดียวเท่านั้นที่อาจจะรู้หรือวิเคราะห์ได้   คนจำนวนมากหรือคนภายในบริษัทอาจจะรู้เรื่องนี้และอาจจะรู้ก่อนเราด้วยซ้ำ   ดังนั้น   พวกเขาก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว   ถ้าเราเข้าไปซื้อหลังจากราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว   เราก็อาจจะไม่ได้กำไรเมื่อมีการประกาศงบการเงินแม้ว่าผลประกอบการจะน่า ประทับใจตามที่เราคาดแต่ราคาหุ้นกลับลดลง   และนี่ก็คือสิ่งที่นักเล่นหุ้นเรียกกันว่าเกิดการ  Sell On Fact  นั่นคือนักลงทุนได้มีการคาดกันอยู่แล้วว่ากำไรกำลังจะมาจึงเข้าไปซื้อหุ้น  และเมื่อกำไรมาจริง ๆ   ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องขายเพราะข่าวดีเรื่องกำไรนั้นกำลังหมดแล้ว   หุ้นหลังจากนั้นจะตกลงมา   พวกเขาจึงต้องรีบขายก่อน
Inventory Gain นั้นเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นครั้งเดียว  นั่นก็คือ  เมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มนิ่งและบริษัทได้ใช้หรือขายสินค้าที่มีต้นทุน ต่ำหมด   บริษัทก็ต้องซื้อสต็อกสินค้าใหม่ในราคาที่สูงและเป็นราคาตลาด   การขายสินค้าในรอบใหม่บริษัทก็จะไม่ได้กำไรมากกว่าปกติแล้ว   ดังนั้นกำไรของบริษัทก็มักจะกลับมาสู่ระดับปกติ    ราคาหุ้นหลังจากรายการ Inventory Gain  อาจจะกลับมาอยู่ที่เดิมหรือดีขึ้นบ้างเนื่องจากบริษัทอาจจะมีกำไรมากจนทำให้ ฐานะทางการเงินดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม  พื้นฐานของบริษัทในด้านอื่น ๆ  มักจะไม่เปลี่ยนแปลง   ข้อสรุปก็คือ  มูลค่าหุ้นของบริษัทในระยะยาวไม่ควรจะเพิ่มมาก   ถ้าจะคิดแบบอนุรักษ์นิยม  มูลค่าหุ้นของบริษัทน่าจะเพิ่มเท่ากับกำไรที่เกิดจากสต็อกสินค้าที่มีอยู่ใน ขณะนั้น  ดังนั้น   สำหรับผมแล้ว   หุ้นที่มี  Inventory Gain  โดยทั่วไป  น่าจะมีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไม่มาก   เพราะกำไรนั้นเกิดขึ้นครั้งเดียวและไม่ต่อเนื่อง  
แต่ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นนั้น   บ่อยครั้ง  ราคาหุ้นของบริษัทที่มีกำไรจากสต็อกสินค้ากลับปรับตัวขึ้นไปมากมาย     เหตุผลอาจจะเป็นว่า   นักลงทุนหรือแม้แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากไม่เข้าใจหรือพยายามที่จะไม่เข้าใจ ว่านี่เป็นกำไรที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียว    พวกเขาคิดว่ากำไรนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง   เหนือสิ่งอื่นใด   เวลารายงานผลประกอบการประจำปีหรือประจำไตรมาศ   ผู้สอบบัญชีรายงานว่านี่เป็น   “กำไรที่เกิดจากการดำเนินงานปกติ”   ดังนั้น  พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นกำไรปกติของบริษัทที่อาจจะต่อเนื่องและสามารถนำมาคิด ค่า  PE  ของหุ้นได้    ด้วยเหตุดังกล่าว  กำไรครั้งเดียวที่เกิดจาก  Inventory Gain  จึงถูกขยายไปด้วยค่า  PE  ที่ 8-10 เท่า  และเป็นเหตุผลที่ทำให้  “ราคาหุ้นที่เหมาะสม”  ปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าและทำกำไรให้กับคนที่ถือหุ้นก่อนที่ราคาจะปรับตัวขึ้น มหาศาล
ใน ระยะยาว   ซึ่งอาจจะเพียงปีเดียว  หรือบางบริษัทอาจจะไม่กี่ไตรมาศ  เมื่อการปรับตัวของราคาโภคภัณฑ์หยุดนิ่งหรือในบางกรณีกลับลดลง   กำไรของบริษัทก็จะปรับตัวลดลงเนื่องจากไม่มี  Inventory Gain แล้วและในบางกรณีกลายเป็น  Inventory Loss  ภาพของบริษัทเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง   ราคาหุ้นที่เคยปรับตัวอย่างโดดเด่นก็มักจะปรับตัวลดลงและกลับไปสู่สิ่งที่ บริษัทเคยเป็น   นักลงทุนที่เคยสนใจก็จะเลิกสนใจและไปหาหุ้นตัวอื่นที่จะมีเรื่องราวหรือ  Story ใหม่ให้เล่น   คนที่เสียหายมากที่สุดคือคนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัท และเข้าไปซื้อหุ้นที่มีราคาขึ้นไปมากมายเพราะคิดว่านี่คือหุ้นที่ดีและยังมี ราคาถูกมากเมื่อคิดจากค่า  PE   
สำหรับ  Value Investor  ที่ยังไม่เชี่ยวชาญ  ผมไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นเหล่านี้เพราะความเสี่ยงค่อนข้างสูง   เหตุก็คือ   เราไม่รู้สถานะของสต็อกสินค้าในบริษัทมากนัก   สำหรับ  Value  Investor  ที่มุ่งมั่นและเชี่ยวชาญ  การลงทุนในหุ้นเหล่านี้หลายครั้งสามารถทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น   คำเตือนของผมก็คือ  ถ้าจะซื้อหุ้นเหล่านี้   เราควรซื้อก่อนที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปหรือขึ้นไปยังไม่มาก    ราคาหุ้นที่ขึ้นไปที่ยังพอซื้อได้นั้น   ถ้าจะให้มี  Margin Of Safety  ผมคิดว่าไม่ควรจะเกินกำไรครั้งเดียวที่เกิดจากสต็อกสินค้าที่มีอยู่   อย่าใช้ค่า PE  เป็นตัวกำหนดราคาซื้อ   เพราะนี่คือกำไรครั้งเดียวที่จะไม่เกิดต่อเนื่อง   ข้อเท็จจริงก็คือ  มันคือกำไรพิเศษเหมือนกับกำไรจากการขายทรัพย์สินหรือกำไรพิเศษอย่างอื่น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘