แสงที่ปลายอุโมง

ถ้าเดือนตุลาคมของปีที่แล้วเป็นเดือนที่  เหมืองถล่ม  นั่นคือเปรียบเทียบกับการที่ตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างหนักเพียงเดือนเดียวถึงประมาณ 30% นั่นคือดัชนีตกจาก 597 จุดตอนสิ้นเดือนกันยายน 2551 เหลือเพียง 417 จุดในตอนสิ้นเดือนตุลาคม 2551    เดือนเมษายนของปีนี้ก็เป็นเดือนที่คนที่   ติดอยู่ในเหมือง  หรือนักเล่นหุ้นเริ่มเห็น  แสงสว่างที่ปลายอุโมง  นั่นคือ  ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเพียงเดือนเดียวจาก 432 จุดในวันสิ้นเดือนมีนาคม  เป็น 492 จุด  เมื่อสิ้นเดือนเมษายน  หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 14%  และนี่ยังไม่นับรวมปันผลที่จะได้จากบริษัทจำนวนมากที่ประกาศให้สิทธิและจ่ายปันผลในช่วงเดือนนื้อีกไม่น้อยกว่า 3-4% 
          เดือนตุลาคมปีที่แล้วตลาดหุ้นตกหนักมากเกิดจากเหตุการณ์   ถ้าจำไม่ผิด  ก็คือ  การล่มสลายของเลย์แมนบราเดอร์  หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐไม่เข้าไปช่วยเหลือ  เหตุการณ์นั้นผมคิดว่าทำให้นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจกำลังเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤติที่รัฐบาลก็ไม่สามารถป้องกันได้   ดังนั้น ทุกคนต่างก็  หนีตาย  และทำให้หุ้นทั่วโลกรวมถึงบ้านเราที่ดัชนีหุ้นสามารถประคองตัวมาได้พอสมควรตั้งแต่ต้นปี  2551 ตกต่ำลงอย่างแรง   หลังจากนั้น  ความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ  ก็ตามมา    คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศหดหายลงอย่างรวดเร็ว   การลดคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นทั่วไป   การพยากรณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเดิมที่บอกว่าน่าจะเติบโตประมาณ 2-3% กลายเป็นติดลบหลายเปอร์เซ็นต์    จนถึงเดือนมีนาคม 2552 ทุกอย่างก็ยังดูมืดมน  ตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกตัวยังเลวร้ายลง    แต่ดัชนีหุ้นของไทยก็ไม่ได้ตกต่ำลงอีก  มันทรงตัวอยู่ในระดับประมาณ 430 จุดบวกลบเล็กน้อยแม้ว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันจะน้อยลงมากจนเรียกว่า  หุ้นซึม
 
          ถึงเดือนเมษายนปีนี้   แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศใหญ่ ๆ  ในโลกยังดูเลวร้ายลง   แต่การตกต่ำก็ลดลงมาก   นั่นไม่สำคัญเท่ากับตัวเลข   ดัชนีชี้นำ  เช่น  คำสั่งซื้อสินค้าของผู้ค้าขาย   ปริมาณการผลิตของโรงงาน    สต็อกสินค้า   และการจับจ่ายสินค้าของผู้บริโภค   ต่างก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น    ในประเทศไทยเอง  โรง งานผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์บางแห่งที่เคยปลดคนงานออกต้องให้คนงาน ทำงานในช่วงวันสงกรานต์เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามามากกว่าที่คาดไว้  โรงงานผลิตรถยนต์บางแห่งที่ลดกะการทำงานเหลือเพียงกะเดียวก็เริ่มวางแผนทำงานเป็นสองกะ   แต่ ที่สำคัญที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องของความมั่นใจของผู้บริโภคโดยเฉพาะ ในประเทศสหรัฐและในยุโรปที่เดือนเมษายนปีนี้ดัชนีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่าง ก้าวกระโดด
 
                นอกจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ  ที่ดูดีขึ้น   เดือนเมษายนยังเป็นเดือนที่บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินเริ่มประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศหนึ่ง   ตัวเลขผลการดำเนินงานโดยเฉพาะของแบ้งค์ใหญ่ ๆ  ระดับโลกที่ออกมานั้น   ดูดีอย่างน่าประหลาดใจ  เช่นเดียวกัน   แบ้งค์ต่าง    ในเมืองไทยเองก็มีผลการดำเนินงานที่ต้องถือว่าดีพอควรและดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีปัญหาหนี้เสียมากมายอย่างที่อาจจะเกรงกลัวกัน   ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับเข้ามาซื้อหุ้นและทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สำคัญ ๆ  ทั่วโลกปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ 20-30%  ภายในเวลาสั้น ๆ
 
                ตลาดหุ้นไทยเองนั้น  ตัวเลขทุกอย่างดูเหมือนจะสอดคล้องกับตัวเลขของต่างประเทศ   เหตุก็เพราะเ        ศรษฐกิจของเราอิงอยู่กับการส่งออกสูงมาก   อย่างไรก็ตาม   เดือนเมษายนปีนี้   เราต้องประสบกับเหตุการณ์การจลาจลที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง  นี่เป็นสิ่งที่บั่นทอนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่น้อย   และนี่อาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าเพื่อนบ้านในเอเซียและในอเมริกา  บางคนมองว่าเรายังโชคดีที่เหตุการณ์จบลงในเวลาอันสั้น  มิฉะนั้น  ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ไปไหนเลย
 
                แม้ว่าจะ  เห็นแสงที่ปลายอุโมง  แล้ว   แต่ก็ยังมีความกังวลกันมาก   เหตุก็เพราะว่า  คนจำนวนมากก็ยังไม่แน่ใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะถาวรหรือไม่   มันอาจจะเป็นเรื่องของการปรับตัวชั่วคราวเนื่องจากที่ผ่านมามีการลดกำลังการผลิตลงไปมากจนทำให้สต็อกสินค้าต่ำลงไปมากเกินไป   ทำให้บริษัทต่าง ๆ  ต้องรีบผลิตเพิ่มกลับมา  แต่หลังจากนั้นแล้ว   ถ้าความต้องการของผู้บริโภคยังน้อยอยู่อย่างเดิม   การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะไม่ยั่งยืนและเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
 
                นอกจากเรื่องของเศรษฐกิจแล้ว   ตอนนี้ก็เริ่มมีอุบัติการณ์ของโรคไข้หวัดเม็กซิโกที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก   ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะลามไปทั้งโลกหรือไม่และจะมีคนป่วยจำนวนมากน้อยแค่ไหน   มีโอกาสเหมือนกันที่มันอาจจะรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนและแน่นอนกระทบตลาดหุ้นอย่างรุนแรงได้  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าโลกเราเคยเผชิญกับโรคซาร์และไข้หวัดนกมาแล้ว   ดังนั้น  น่าจะสามารถจัดการกับไข้หวัดเม็กซิโกได้ในไม่ช้า
 
                กลับมาที่ประเทศไทย  การเมืองที่เคยเป็นปัจจัยลบรุนแรงในช่วงเดือนเมษายนนั้น    ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าทุกอย่างจบลงแล้วและจะไม่เกิดขึ้นอีก  ดังนั้น  ความเสี่ยงเฉพาะสำหรับประเทศไทยเองก็คงยังสูงกว่าเพื่อนบ้านและอาจทำให้ดัชนีตลาดหุ้นบ้านเราไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เท่ากับเพื่อนบ้าน   อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงด้านการเมืองนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงแล้ว

                 กล่าวโดยสรุปก็คือ   ผมคิดว่าเศรษฐกิจโลกและไทยน่าจะค่อย ๆ  ฟื้นตัวนับจากวันนี้และผมไม่คิดว่ามันจะฟุบลงไปอีก    แสงที่ปลายอุโมงนั้นอาจจะยังไม่ใช่ทางออกแต่มันน่าจะนำไปสู่ทางออกในที่สุด   ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นมานั้น  ยังไม่สูงเกินไป  เห็นได้จากตัวเลข  ราคาหุ้นต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชีของตลาดนั้นอยู่ที่เพียงประมาณ  1  เท่าเศษ ๆ  ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์หุ้นไทย  และที่สำคัญก็คือ  ผลตอบแทนเงินปันผลต่อราคาหุ้นอยู่ในระดับที่สูงถึงกว่า 5% ต่อปี  ซึ่งทำให้การลงทุนในช่วงเวลานี้ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับการฝากเงินในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยน้อยนิด    ก่อนที่จะจบบทความผมอยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับตลาดหุ้นว่า   ตลาดหุ้นนั้น  ปีนกำแพงแห่งความกังวล หมายความว่า  ตลาดหุ้นนั้นปรับตัวขึ้นไปทั้ง    ที่คนยังกังวลกันมากกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นและคิดว่าจะเกิดขึ้น    ว่าที่จริง  ถ้าคนเลิกกังวลเมื่อไร   เมื่อนั้นหุ้นก็จะตกลงมามาก

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘