0090 : แหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแอบแฝง

บมจ.แห่งหนึ่ง เจ้าของถือหุ้น 50% รายย่อยถือหุ้นอีก 50% เจ้าของไม่คิดจะขยายงานใดๆ อีกแล้ว กำไรที่ได้ทุกปีจึงจ่ายปันผลออกมา Dividend Yield = 5% แม้ราคาหุ้นในกระดานจะไม่เคยปรับตัวเพิ่มขึ้นเลยเพราะกำไรเท่าเดิมทุกปีแต่ รายย่อยก็รู้สึกพึงพอใจมาก เพราะเงินปันผล 5% ก็ดีกว่าเอาเงินไปฝากธนาคารแล้ว
อยู่มาวัน หนึ่ง เจ้าของก็คิดได้ว่าจะเอาของดีๆ อย่างนี้ไปแบ่งคนอื่นทำไม น่าจะเก็บไว้เองดีกว่า คิดได้ดังนั้นจึงอยากกว้านซื้อหุ้นอีก 50% ที่เหลือจากรายย่อยคืน แต่เจ้าของไม่มีเงินจะต้องกู้ธนาคารเป็นจำนวนเท่ากับราคาตลาดของหุ้นที่อยู่ ในมือรายย่อยทั้งหมด ในการกู้ธนาคาร เจ้าของจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เท่ากับ 7% ของเงินที่กู้มาซื้อหุ้นให้กับธนาคาร
ถึง ตรงนี้เจ้าของก็ร้องอ๋อทันที แต่เดิมทุนส่วนนี้ของบริษัทก็เหมือนเงินที่เรา ยืมผู้ถือหุ้นรายย่อยมา โดยที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยคิดดอกเบี้ยเราเท่ากับเงินปันผลคือ 5% ต่อปี ถ้าเราไปกู้เงินมาซื้อหนี้คืน เราจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารเท่ากับ 7% ต่อปี เช่นนี้แล้ว เราจะซื้อหุ้นคืนมาทำไม ยืมเงินผู้ถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ ดอกเบี้ยต่ำกว่าเห็นๆ คิดได้ดังนั้นแล้วเจ้าของก็ไม่คิดอยากจะได้หุ้นส่วน ที่เหลือคืนอีกเลย ผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่ใช่ผู้แบ่งกำไรแต่เป็นเพียงเจ้าหนี้เงินกู้ที่ยอมคิด ดอกเบี้ยให้ในอัตราต่ำ แค่จ่ายปันผลให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากก็โอเค
เรื่อง นี้สอนให้รู้ว่า บริษัทที่ไม่มีนโยบายสร้างการเติบโตของกำไร แม้จะจ่ายปันผลมากถึง 5% ก็ไม่ใช่การตอบแทนผู้ถือหุ้นรายย่อยแต่กลับเป็นการอาศัยผู้ถือหุ้นรายย่อย เป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากกว่า การได้เงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากเพียงแค่ 2-3% ต่อปีนั้นไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะขาดทุนจาก Capital Loss เพราะ Capital Loss ในตลาดหุ้นอาจอยู่ในระดับ 25-30% เลยทีเดียว เงินปันผลที่มากขึ้นแค่กว่า 2-3% ต่อปีนั้นไม่สามารถชดเชยผลขาดทุนจาก Capital Loss ของหุ้นได้เลย ต่างกับเงินฝากที่แม้จะได้ดอกเบี้ยน้อยกว่าเงินปันผล 2-3% ต่อปี แต่เงินต้นไม่มีความเสี่ยงเลย (หุ้นปันผลที่เติบโตเป็นโอกาสที่ "ได้ไม่คุ้มเสีย"
ทางเดียวเท่านั้นที่หุ้นจะ ตอบแทนผู้ถือหุ้นรายย่อยเกินความเสี่ยงที่แบกรับคือหุ้นจะต้องมีการสร้าง กำไรให้เติบโตด้วย เพราะจะทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ผลตอบแทนเพิ่มอีกส่วนหนึ่งจากราคาหุ้นที่ เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลที่ได้รับแล้ว ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ย MLR ซึ่งเท่ากับว่าบริษัทเป็นผู้ตอบแทนผู้ถือหุ้น มิใช่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้ช่วยเหลือบริษัท บริษัทที่ทำกำไรให้เติบโตได้ 10% ต่อปี แม้ว่าจะปันผลได้แค่เพียง 2% แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะได้ผลตอบแทนเท่ากับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น 10% บวกกับเงินปันผล 2% รวมเป็น 12% ซึ่งมากกว่าบริษัทที่จ่ายปันผลอย่างเดียว 5% โดยไม่เคยคิดสร้างการเติบโตของกำไร
โดยปกติแล้วเกือบจะไม่มีหุ้นตัวใดในตลาดที่ให้ Dividend Yield สูงเกิน 10% ต่อปี (ยกเว้นบริษัทที่เสี่ยงจะล้ม ละลาย) แสดงว่า ไม่มีบริษัทใดในตลาดที่ตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างเพียงพอด้วยการจ่ายเงินปันผล เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ทุกบริษัทในตลาดมีหน้าที่ต้องสร้างการเติบโตของกำไรเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นทั้งนั้น (ส่วนจะสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) จะมาอ้างว่าจ่ายปันผลให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากแล้วไม่ต้องสร้างการเติบโตของกำไร "ไม่ได้"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘