0070: หุ้นสามัญประจำบ้าน

กู รูด้านการลงทุนในสหรัฐฯ มักชี้ให้คนทั่วไปเห็นว่าการออมไว้ในหุ้นนั้นในระยะยาวๆ ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ดูง่ายๆ เลยก็คือ ดัชนี S&P500 เมื่อปี 1968 เท่ากับ 100 จุด ปัจจุบันนี้ S&P500 อยู่ที่ประมาณ 1300 จุด เท่ากับว่าเพิ่มขึ้น 13 เท่า ยังไม่นับเงินปันผลที่ได้รับมาตลอดทาง ซึ่งถ้านำมาทบต้นด้วยตลอด 40 ปี จะเป็นผลตอบแทนที่มหาศาล
แต่ สำหรับบ้านเรา คำชี้ชวนให้ลงทุนในหุ้นอันนี้ใช้ไม่ได้ผลเท่าไร เพราะบ้านเรายังมีบาดแผลจากวิกฤตปี 40 ที่คาใจผู้คนอยู่ SET เคยขึ้นไปสูงสุดประมาณ 1700 จุดเมื่อปี 2537 แต่ปัจจุบันผ่านมาแล้วถึง 14 ปี SET ก็ยังไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้ มันยังวนเวียนอยู่แถว 700 จุดเท่านั้น ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุดเดิมด้วยซ้ำ สิ่งนี้เป็นบาดแผลที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของนักลงทุนไทยเสียจนหลายคนประกาศ ก้องว่า "หุ้นไทยถือยาวไม่ได้"
ก่อนจะเหมารวมๆ อย่างนั้น ผมอยากให้ดูตัวเลขอะไรสักนิดนึง ผมมีมูลค่าตลาดในปี 2538 ของบริษัทจำนวนหนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "หุ้นสามัญประจำบ้านของไทย" ให้ดู ที่จริงแล้วผมอยากเอาตัวเลขของปี 2537 มาให้มากกว่าเพราะเป็นปีที่หุ้นไทย peak สุด แต่ว่าผมหาตัวเลขไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2538 นั้นหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 1280 จุด ซึ่งถือได้ว่ายังฟองสบู่อยู่ไม่น้อยทีเดียว ลองเปรียบเทียบมูลค่าตลาดของ บริษัทเหล่านั้นในปี 2538 กับปี 2551 หรือปีปัจจุบันที่หุ้นไทยยังกลับมาได้แค่ 700 จุดเท่านั้นเอง
/images/emoticons/mozilla_yell.gifMarket Cap: Mil.BHT)  
Year     2538  -->  2551
BBL 216,275  -->  236,592
PTTEP 81,840  -->  491,402
SCC 160,320  --> 205,200
ADVANC 104,364  --> 267,970
LH 58,500 --> 71,524
CPN 8,400  -->  46,609
OHTL 1,872  -->  8,192
จะ เห็นได้ว่าแม้ตัวดัชนีจะยังกลับมาได้ไม่ถึงครึ่ง แต่มูลค่าตลาดของหุ้นเหล่านี้กลับมาสูงกว่าเดิมได้หมดแล้ว หลายตัวอยู่สูงกว่าตอน SET 1200 จุดหลายเท่าตัวแล้วด้วยซ้ำ โอเคว่า บางตัวอาจจะใหญ่ขึ้น เพราะเกิดจากการเพิ่มทุนระหว่างทาง แต่การเพิ่มทุนก็นับว่ามีไม่บ่อยนักสำหรับหุ้นที่เป็นหุ้นระดับหุ้นสามัญ ประจำบ้าน
แล้วทำไม SET ถึงให้ภาพที่ค่อนข้างจะบิดเบือนราวกับว่าหุ้นไทยยังกลับมาไม่ได้หลังวิกฤต ผ่านไปแล้วตั้ง 14 ปีทั้งที่จริงๆ แล้วหุ้นสามัญประจำบ้านกลับมาได้เกือบหมดทุกตัวแล้ว สาเหตุหนึ่งก็คือ ก่อนที่จะเกิดวิกฤตนั้นองค์ประกอบของ SET มีหุ้นตัวเล็กๆ ที่เป็นกิจการคุณภาพต่ำอยู่เป็นจำนวนมาก บริษัทเหล่านี้เข้าตลาดมาได้ง่ายๆ ทั้งที่ธุรกิจเปราะบางมากเพราะตลาดกำลังอยู่ในภาวะมองโลกในแง่ดีแบบสุดๆ ต่อเมื่อเกิดวิกฤตขึ้น ความเปราะบางของธุรกิจเหล่านี้ก็แสดงตัวออกมา พวกมันพา SET ดิ่งลงไป แต่เมื่อเวลาที่ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ พวกมันไม่ได้พา SET ขึ้นมาด้วย เพราะพวกมันหายไปจากตลาดหุ้นแบบถาวร เนื่องจากปิดกิจการ หุ้นที่สิ้นชื่อไปเลยเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก ลองนึกถึงหุ้นชื่อเก่าๆ ที่เคยฮิตๆ สมัยก่อนแต่สมัยนี้แทบไม่มีใครจำได้แล้วจะเห็นได้ว่ามีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เหตุนี้เมื่อ SET กลับขึ้นมาจึงดูเหมือนว่าจะขึ้นมาได้น้อยกว่าเดิม เพราะเหลือแต่หุ้นที่ ธุรกิจของเขามีความแข็งแกร่งมากพอเท่านั้น ที่กลับมาได้ 
เรื่อง นี้ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของความเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่ง หุ้นที่ธุรกิจมีความแข็งแกร่งนั้นหลายๆ ตัวเป็นหุ้นที่เรารู้สึกว่าน่าเบื่อ เพราะในช่วงสั้น ๆนั้น โอกาสที่มันจะวิ่งขึ้นไปแรงๆ มีน้อยมาก ถือแล้วเบื่อ แต่เวลาเกิดวิกฤต หุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่กลับมาได้ ในขณะที่หุ้นที่สร้างผลตอบแทนในช่วงสั้นๆ ในนักลงทุนได้มากๆ กลับเป็นหุ้นที่สิ้นชื่อไปในระยะยาว  
สาเหตุ ที่หุ้นสามัญประจำบ้านทั้งหลายเหล่านี้กลับมาได้หมดแล้วเป็นเพราะกิจการของ พวกมันเป็นกิจการที่ฝังรากลึกจนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าตลาดหุ้นจะวิกฤตสักกี่รอบ ตราบใดที่ ยังมี "คนไทย" 60 ล้านคนอยู่บนโลกนี้ บริษัทเหล่านี้ก็จะขายสินค้าได้เสมอ คนไทยอาจตกใจกลัวรัดเข็มขัดอยู่พัก หนึ่ง แต่สุดท้ายก็จะต้องกลับมาตายรังซื้อสินค้าพวกนี้อยู่ดีเพราะยังต้องดำเนิน ชีวิตต่อไป วิกฤตจะทำให้หุ้นเหล่านี้ร่วงลงไปสักพักหนึ่ง แต่ไม่ช้าไม่นาน เมื่อเมฆฝนผ่านไป มันก็จะกลับมาอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิมได้อีกครั้ง  หุ้นสามัญประจำบ้านจึงเป็นหุ้นที่สามารถซื้อแบบสะสมไว้ให้มีจำนวนหุ้นมาก ขึ้นเรื่อยๆ ได้ และถ้าเป็นหุ้นสามัญประจำบ้านที่มีโอกาสเติบโตที่ดีด้วยจะยิ่งเป็นหุ้นที่มี ค่าควรเมืองจริงๆ  
ถ้าลองไปตรวจสอบ ดูในอดีต เมื่อตลาดหุ้นพัง หุ้นสามัญประจำบ้านก็ร่วงลงตามตลาดไม่น้อยไปกว่าหุ้นแย่ๆ เหมือนกัน (โดยเฉพาะ LH ซึ่งลงไปอย่างรุนแรงมากๆ ก่อนจะขึ้นมาได้ใหม่) เพราะเวลาตลาดหุ้นพัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจมีปัญหา แต่อีกส่วนหนึ่งที่มีผลยิ่งกว่าก็คือความตื่นกลัวของนักลงทุน ความตื่นกลัวนั้นสามารถส่งผลต่อหุ้นทุกตัวได้เท่าๆ กัน ไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อตลาดตั้งสติได้ หุ้นสามัญประจำบ้านมักจะกลับมาได้เสมอเพราะพื้นฐานที่ แข็งแรงของพวกมัน ในขณะที่ กิจการเน่าๆ นั้นมักจะไม่กลับมาอีกเลย ดังนั้นที่จริงแล้ว บางทีเราก็ให้ความสำคัญกับความผันผวนในระยะสั้นมากจนเกินไป สำหรับ การซื้อหุ้นแบบเป็นนักลงทุนนั้น เราไม่ควรจะวิตกกับความผันผวนของหุ้น แต่ควรจะให้ความสำคัญกับประเด็นที่ว่า สุดท้ายแล้วมันจะกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้เรื่อยๆ รึเปล่า

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘