0022 : มองไปข้างหน้า (2)

กลับ มามองหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศกันต่อ เมื่อสองครั้งก่อนผมบอกว่าธุรกิจเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศมีความน่า สนใจ แต่ด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์ทำให้มีเรื่องที่ต้องระวังอยู่เหมือนกัน
ธุรกิจในประเทศที่จะทนทานต่อกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ดีจะต้องเป็นธุรกิจที่มี Mobility ต่ำ ด้วย โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจผลิตสินค้าเป็นธุรกิจที่มี Mobility ค่อนข้างสูง กล่าวคือสามารถผลิตจำนวนมากๆ ในประเทศหนึ่งแล้วขนข้ามน้ำข้ามทะเลมาทุ่มตลาดอีกประเทศหนึ่งได้ ถือเป็น ธุรกิจที่น่ากลัวในยุคโลกาภิวัฒน์ ทุกวันนี้ผมว่าธุรกิจผลิตสินค้าอยู่ในภาวะล้นตลาดแบบเรื้อรังทั้งในและนอก ประเทศ ในขณะที่ธุรกิจที่มี Mobility ต่ำจะต้านทานการแข่งขันจากต่างชาติได้มากกว่า ตัวอย่างเช่น ร้านตัดผม ถ้าต่างชาติจะเข้ามาแข่งก็ต้องเข้ามาเปิดร้านใกล้ๆ บ้านลูกค้า ทำให้มีโครงสร้างต้นทุนที่ไม่แตกต่างกับร้านตัดผมของคนไทยมากนัก แบบนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกันได้ ปลอดภัยกว่า จะว่าไปแล้ว ธุรกิจที่มีอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับ Location มักเป็นธุรกิจที่มี Mobility ต่ำ
ที่จริง ร้านตัดผมเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะสุดโต่ง ธุรกิจทุกชนิดจะมีระดับของ Mobility ในระดับหนึ่งเสมอแล้วแต่ว่าจะมากหรือน้อย ตัวอย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์มีธุรกิจหลายด้าน ธุรกิจให้บริการโอนเงินต่างประเทศเป็นธุรกิจที่มี Mobility สูงมาก เพราะสามารถทำข้ามทวีปผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ในเสี้ยววินาที แบบนี้ธนาคารท้องถิ่นจะเสียเปรียบธนาคารระดับโลกมาก ในขณะที่ Retail Banking เป็นธุรกิจส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นกับต่างชาติสูสีกัน หรือธนาคารท้อง ถิ่นอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำเพราะทำมานานกว่าและเข้าใจความต้องการของคนในประเทศ มากกว่า เป็นต้น
สรุปแล้ว ในความคิดของผม กลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศที่น่าลงทุนเห็นจะได้แก่ พลังงาน พาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบก็มีความน่าสนใจเช่นกัน ได้แก่ โรงพยาบาลส่งออก โรงแรม เป็นต้น (แต่ราคาหุ้นสองกลุ่มหลังนี้ได้สะท้อนความน่าสนใจของมันไปแล้วพอสมควร) ลอง เลือกๆ กันดูนะครับ ว่าบริษัทในกลุ่มเหล่านี้มีตัวไหนที่ผู้บริหารมีความน่าเชื่อถือ มีการจัดการที่ดี และมีความพร้อมที่จะเติบโตบ้าง
อนึ่ง การมองหาหุ้นแบบนี้เป็นวิธีที่เรียกว่า Top-down approach กล่าวคือ เริ่มต้นจากการมองทั้งประเทศก่อนแล้วค่อยขยับลงมามองอุตสาหกรรมและบริษัทใน ที่สุด วิธีนี้มีข้อดีคือไม่ต้องรู้ลึกมากนักก็ลงทุนได้ แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสียเหมือนกันตรงที่ การมองตัวบริษัทที่ไม่ละเอียดพออาจทำให้ขาดทุนเพราะไปลงทุนในบริษัทที่กำลัง มีปัญหาแต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีก็ได้ ดังนั้นการลงทุนในลักษณะนี้ควรลงทุน ในหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อลดโอกาสขาดทุนจากความเสี่ยงเฉพาะของบริษัทที่ลงทุนครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘