0011: ซื้อหุ้นควรคาดหวังอะไร

ผมเห็นนักลงทุนระยะยาวหลายท่านเวลาเลือกหุ้นพยายามมองหาหุ้นที่ธุรกิจมีความมั่นคงมากๆ เอาไว้ก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลัง
ถ้า ความมั่นคงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของหุ้นแล้ว ทำไมเราจึงไม่เลือกลงทุน ในตราสารหนี้แทน เพราะต่อให้เป็นหุ้นที่กิจการมีความมั่งคงมากขนาดไหนขึ้นชื่อว่าหุ้นแล้ว ย่อมมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นได้เสมอ ในขณะที่ตราสารหนี้นั้น ผลตอบแทนมากน้อยอีกเรื่องหนึ่ง แต่เงินต้นอยู่ครบแน่ๆ
ถ้า คุณลงทุนในหุ้นที่กิจการมั่นคงมากๆ แต่การเติบโตไม่มี กล่าวคือ กำไรเท่าเดิมทุกปี สมมติว่าหุ้นนั้นจ่ายเงินปันผลปีละ 5% ถ้าคุณถือหุ้นนั้น ไว้สิบปี ราคาหุ้นย่อมเท่าเดิมเพราะว่ากำไรของหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง คุณจึงได้ผลตอบแทน จากเงินปันผลอย่างเดียวเท่ากับ 5% ต่อปี อัตราผลตอบแทนในระดับนี้แม้จะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยแต่เมื่อคิดถึงการที่คุณ จะต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นด้วยแล้วถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย แบบนี้ลงทุนในตราสารหนี้สบายใจกว่ากันเยอะเลย
ที่จริงแล้ว หุ้น (equity) มีข้อดีอย่างเดียวเท่านั้นที่เหนือกว่าตราสารหนี้ (fixed-income) คือ ผลตอบแทนของหุ้น (กำไร) มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ ในอนาคต ในขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ (ดอกเบี้ย) ในอนาคตทั้งหมดนั้นถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว นอกนั้นคุณสมบัติอย่างอื่นของหุ้นด้อยกว่าตราสารหนี้ทั้งสิ้น 
ดัง นั้นการลงทุนในหุ้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องคาดหวัง "การเติบโต" ของผลตอบแทนในอนาคตซึ่งสำหรับหุ้นแล้วก็คือการเติบโตของ "กำไร" นั่นเอง
การ ลงทุนในหุ้นนั้นควรได้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปีจึงจะถือว่าคุ้มค่ากับการที่คุณจะต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะสูญเสีย เงินต้น ดังนั้นแม้แต่คนที่ต้องการลงทุนแบบรอรับเงินปันผลอย่างเดียว (ไม่หวัง Capital Gain) ก็ยังต้องคาดหวัง "การเติบโต" ของเงินปันผลอยู่ดี เพราะการได้รับเงินปันผลแค่ 5% ต่อปีเท่าเดิมทุกปีนั้นถือว่าเป็นการขาดทุนแล้วสำหรับการลงทุนในหุ้น
บาง คนอาจจะมองว่าการเติบโตเป็นเรื่องของอนาคต และคิดว่าอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอนจึงไม่ควรคาดหวัง คนกลุ่มนี้อาจบอกว่า การลงทุนที่ปลอดภัยกว่าคือการมองกำไรในปัจจุบัน คือซื้อหุ้นที่ราคาไม่แพงและจ่ายปันผลสูง แต่การทำอย่างนั้น ผมว่าก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี เพราะมันไม่ได้ตอบคำถามว่า แล้วกำไรในอนาคตลดลงไม่ได้หรือ ทำไมกำไรในอนาคตจึงต้องเท่ากับในปัจจุบันด้วย การลงทุนในหุ้นจึงหลีกเลี่ยง ไม่ได้เลยที่จะต้องมองอนาคตอยู่ดี การมองอนาคตไม่ใช่สิ่งเสียหายแต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรกระทำ
คุณ ไม่จำเป็นต้องเป็น "กูรู" ถึงจะมองอนาคตได้ นักธุรกิจทุกคนไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือเล็กหรือจิ๋ว เวลาจะลงทุนก็ต้องคาดการณ์อนาคตกันทั้งนั้น ถ้ามีคุณมาชวนคุณทำธุรกิจผลิตเครื่องพิมพ์ดีด คุณคงไม่เอาด้วยเพราะคุณก็รู้อยู่แล้วว่า พิมพ์ดีดเป็นธุรกิจที่ไม่มีอนาคต ขนาดคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ยังอยากจะเลิกทำเลยแล้วคุณจะเข้าไปลงทุนอีก ทำไม นี่เป็นสามัญสำนึกทั่วไปของการทำธุรกิจ การลงทุนในตลาดหุ้นก็ไม่แตกต่างกัน นักลงทุนในตลาดหุ้นควรเลือกลงทุนในหุ้นของกิจการที่นักลงทุนคิดว่าเป็น กิจการที่มีอนาคต
กิจการที่มั่นคงเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ความมั่นคงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะเป็นกิจการที่น่าลงทุน อย่าลืมมองอนาคตของกิจการด้วยครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘