You Are What You Read

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพและโภชนาการมักจะพูดว่า "You Are What You Eat" ความหมายก็คือ สุขภาพของคุณจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกิน นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสุขภาพ แต่ในด้านของความคิดหรือสมองของเรา ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ก็คือ การอ่าน เพราะการอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด เนื่องจากมันทำได้รวดเร็วเท่ากับความเร็วของแสง ความรู้และความคิดมหาศาลบางทีสามารถบรรจุลงในหนังสือเพียงเล่มเดียว การค้นคว้าหรือประสบการณ์ของคนทั้งชีวิต สามารถเรียนรู้ได้โดยการอ่านหนังสือที่เขาเขียนเพียงเล่มเดียวหรือไม่กี่เล่ม
ดังนั้น ถ้าจะให้ "สุขภาพทางใจ" หรือสมองของเราดีเยี่ยมและแข็งแกร่งพร้อมที่จะเป็นนักลงทุนชั้นนำ เราจำเป็นต้องอ่านและอ่านมากๆ อย่าลืมว่าการลงทุนนั้นคือ การ "รบทางด้านจิตใจ" ถ้าจะพูดให้เท่เป็นภาษาอังกฤษ ก็คือ "Investment Is The Battle Of The Mind" คนที่สมองและจิตใจเหนือกว่า คือผู้ชนะ
Value Investor ควรอ่านอะไร? คำถามนี้เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากและเซียน แต่ละคนก็น่าจะอ่านหนังสือที่แตกต่างกันและต่างก็ประสบความสำเร็จได้ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัว ที่นักลงทุนอาจนำไปพิจารณาและปรับเข้ากับรสนิยมและความถนัดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม มีหนังสือหรือเอกสารบางอย่าง ที่ผมคิดว่านักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องอ่านเพราะมันเกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรง
ส่วน Value Investor มือใหม่นั้น หนังสือกลุ่มแรกที่ต้องอ่านก็คือหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Value Investment นี่คือหนังสือ ที่พูดถึงแนวทางการลงทุน แบบเน้นคุณค่า หรือแบบอิงปัจจัยพื้นฐาน
หนังสือเหล่านี้ จะพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเน้นไปที่การดูตัวบริษัท ที่เราจะลงทุนเป็นหลัก แม้ราคาหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่เขาก็จะพูดถึงไม่มาก
การอ้างอิงถึงบุคคลที่เป็นตัวอย่างของนักลงทุน ก็จะเป็นเซียนที่ยึดแนวทางการลงทุนแบบ Value Investment เช่น เบน เกรแฮม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปีเตอร์ ลินช์ จอห์น เนฟ และเซอร์จอห์น เทมเปิลตัน เหล่านี้เป็นต้น
การอ่านหนังสือเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญและเป็นก้าวแรก ที่จะช่วยปรับความคิดของเรา เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น มันจะช่วงแยกแยะความแตกต่างระหว่างการ "เล่นหุ้น" กับการ "ลงทุน" ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ในการที่เราจะเข้าสู่การซื้อขายหุ้นในตลาด ถ้าเราเดินทางผิด เข้าตลาดเพื่อมา "เล่นหุ้น" อนาคตเราอาจจะมืดมน แต่ถ้าเราเดินทางถูก เข้าตลาดเพื่อมา "ลงทุน" ความสำเร็จก็อาจไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
การเป็นนักลงทุน จำเป็นต้องรอบรู้เกี่ยวกับธุรกิจ และความเป็นไปของเศรษฐกิจที่บริษัทต่างๆ ต้องเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นคนที่จะเป็น Value Investor จะต้องอ่านหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจรายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ นั่นหมายความว่า คนที่อ่านแต่หนังสือพิมพ์ "มวลชน" จะต้องหันมาหัดอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจเป็นประจำแทน
ส่วนหนังสือพิมพ์มวลชน จะกลายเป็นหนังสือพิมพ์ "ฉบับรอง" ข้อที่ควรคำนึงถึงเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ ก็คือ ข้อมูลในหนังสือพิมพ์ มักเป็นข้อมูลหยาบๆ ที่มักจะไม่เที่ยงตรงพอที่จะใช้ในการลงทุนได้ ดังนั้น เมื่อเราพบอะไรที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์ เราต้องไป "เจาะลึก" อีกทีหนึ่งจากข้อมูลที่ละเอียดและเป็นทางการกว่า
คติของผมก็คือ "ห้ามวิเคราะห์หุ้นจากหนังสือพิมพ์" รวมถึง ห้ามใช้ตารางข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นรายวันเช่นค่า PE จากหนังสือพิมพ์ด้วย
นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องอ่านข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนด้วยเพื่อหาหุ้นที่จะลงทุน ข้อมูลเหล่านี้หลักๆ จะหาอ่านได้จากเวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์ SET.OR.TH และของ ก.ล.ต.ข้อมูลการวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์ นอกจากนั้นอาจจะหาอ่านได้จากเว็บไซต์ของ THAIVI.COM ซึ่งเป็นแหล่งรวมของ Value Investor ไทยที่น่าจะใหญ่ที่สุด สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนัก ก็คือ เวลาอ่าน เราอ่านเฉพาะข้อมูล อย่าไปรับความเห็นมาโดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน อย่าลืมว่าผู้ที่ให้ข้อมูล ส่วนใหญ่มีความขัดแย้งของผลประโยชน์ นั่นคือ เขาอยากให้เราซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้น
หนังสือชุดต่อมาที่ผมคิดว่าควรจะอ่านอย่างยิ่ง ก็คือ หนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขันทางธุรกิจที่จะทำให้เราเข้าใจว่าบริษัทแบบไหนจะชนะหรือแพ้ในการแข่งขันเพราะอะไร นี่คือหนังสือแนวการตลาดระดับยุทธศาสตร์ไม่ใช่ระดับปฏิบัติการ ดังนั้น โดยทั่วไป ถ้าเราเห็นว่าหนังสือนั้นเล่มโตเกินไปหรืออ่านแล้วมีรายละเอียดมาก มันก็มักจะไม่ใช่หนังสือที่เราต้องการ คนที่เขียนเรื่องนี้ได้ดีมากคนหนึ่ง ก็คือ แจ็ค เทร้า และฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ทางด้านการตลาดและกลยุทธ์การแข่งขัน
หนังสือที่ควรอ่านเพราะมันช่วยเสริมความคิด และความมั่นใจของเรา ก็คือ หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และตลาดหุ้น ประวัติศาสตร์นั้น น่าสนใจเพราะมันมักจะ "ซ้ำรอย" ซึ่งถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ซ้ำรอยตรงๆ แต่มันก็เป็นร่องรอยที่ทำให้เราสามารถทำนาย หรือคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงได้ ประวัติศาสตร์ยังสอนให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้เราสามารถเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน
ผมชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ๆ ที่ท้าทายความเชื่อเก่าๆ โดยเฉพาะทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิตและพฤติกรรมของมนุษย์ นี่คือ เรื่องของจิตวิทยาต่างๆ ที่คนทั่วไปอ่านได้ง่ายเข้าใจง่ายไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาของนักจิตวิทยา ที่รักษาคนป่วย เรื่องของพฤติกรรมมนุษย์นั้น สำคัญเพราะมันเป็นสิ่งที่กำหนดการกระทำของคนทั้งในเรื่องของการเป็นผู้บริโภค ซึ่งจะกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน และการเป็นนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดด้วย
นอกจากเรื่องหนักๆ ทั้งหลายดังกล่าว ผมยังสนใจดูหรืออ่านเรื่องของดารา หนุ่มสาวสังคมแบบห่างๆ ด้วย ผมคิดว่าคนเหล่านี้คือผู้ที่กำหนดทิศทางของสังคมไม่น้อย เช่นเดียวกัน ผมคิดว่าข่าวการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่กระทบกับการลงทุนและชีวิตของเรา
ดังนั้น ผมจึงติดตามเรื่องของการเมือง แต่ก็เช่นกัน ผมมองภาพใหญ่ คือตราบที่การเมืองยังอยู่ในระบอบประชาธิปไตยและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบตลาด พูดง่ายๆ ยังเป็นระบอบทุนนิยมที่เปิดกว้าง ผมคิดว่านั่นก็เพียงพอสำหรับการทำงานของตลาดและหุ้นต่างๆ ที่เราลงทุน
มองจากการอ่านทั้งหมดที่ผมทำ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การอ่านเป็นสิ่งที่ผมใช้เวลามากที่สุด เรียกได้เลยว่าการอ่านคือ "อาชีพ" หรืออาจจะเรียกว่าเป็น "ชีวิต" และถ้าเราอ่านไม่ถูกเรื่อง เราก็คงเสียเวลาและประสบความสำเร็จได้ยาก
ถ้าเราอ่านถูกเรื่องและอ่านหนังสือที่ดีและอ่านมาก ความสำเร็จก็น่าจะตามมา คำที่ผมอยากจะสรุปสำหรับบทความนี้ ก็คือ "You Are What You Read" คุณอ่านอะไร คุณก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นต้องอ่านหนังสือที่ดีมีประโยชน์สำหรับการลงทุนและต้องอ่านให้มาก

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘