Wednesday, January 03, 2007 วิกฤตหนอ ... มาเยี่ยมกันบ่อยจัง

ฝุ่นตลบรอบก่อนยังไม่ทันจางดี ก็มีเหตุการณ์ใหม่ๆ มาให้ตกใจกันอีกแล้ว คนที่เพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นใหม่ๆ ช่วงครึ่งปีหลังมานี่อาจจะรู้สึกว่า "ตลาดหุ้นนี่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ" เพราะไม่ทันไรก็เจอเรื่องเข้าไปถึง 3 เรื่องด้วยกัน ... เริ่มตั้งแต่วันที่ 19/9/49 วันปฏิรูปการปกครอง แล้วตามมาด้วยการออกมาตราการยืดเงิน 30% ของเงินทุนจากต่างชาติเพื่อสกัดการแข็งตัวของค่าเงินบาท ซึ่งออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มต้นปีใหม่ หวังว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นบ้าง ที่ไหนได้โดนตั้งแต่ยังไม่พ้นวันสุดท้ายของปี ก็มีเหตุการก่อการร้ายวางระเบิดทั่วกทม. ถึงแม้จะมีผู้บาดเจ็บไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ความเชื่อมั่นของคนนั้นลดต่ำลงมาก

2 เหตุการณ์แรกนั้นผมไม่ได้ทำอะไรทั้งซื้อและขาย เพียงแต่จะบอกคนที่โทรมาถามส่วนใหญ่ว่าถ้ามีเงินก็ให้เลือกซื้อหุ้นที่เล็ง ไว้ว่าจะซื้อก่อนเกิดเหตุการณ์ ส่วนใครที่มีหุ้นอยู่เต็มมือก็บอกให้ถือเอาไว้ เพราะผมเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้ง 2 ไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับหุ้นหลายๆตัว (บางตัวมีผลนะ) มาเหตุการณ์ที่ 3 ผมก็ยังทำเหมือนเดิมคือไม่ได้ซื้อไม่ได้ขายหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว ... ก่อนวันที่ 19/9 ผมถือหุ้นอะไร วันนี้ผมก็ยังถือหุ้นอยู่เหมือนเดิมเป๊ะ สาเหตุที่ผมไม่ขาย เพราะผมคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วว่าหุ้นที่ผมถืออยู่ไม่น่าจะโดนผลกระทบ เท่าไหร่จากเหตุการณ์ทั้ง 3 วันนี้เลยอยากจะลองวิเคราะห์แบบงูๆปลาๆให้ฟังดูว่า เหตุการณ์ทั้ง 3 มีผลกระทบต่อธุรกิจกลุ่มใดบ้างอย่างไร แล้วเราจะได้เลือกลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ไม่ใช่ขายหุ้นทิ้งโดนไม่รู้ เหตุผล
19/9 ปฏิรูปการเมืองก่อน หน้าที่จะมีการปฏิวัติประเทศไทยดูเหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นพวกๆ การเมืองก็ไม่นิ่ง คาดการณ์อะไรไม่ได้ชัดเจน แต่หลังจากเกิดปฏิวัติเกิดขึ้น ผมมองว่าปัญหาหลายๆอย่างที่คาราคาซังอยู่ก็ดูจะคลี่คลายลง แม้ว่ามันอาจจะมีปัญหาใหม่ๆตามมาจากการเปลี่ยนแปลง แต่ ณ วันนั้นยังไม่มีใครบอกได้ว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะทำให้พื้นฐานของประเทศ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

กลุ่มที่โดนผลกระทบจากเหตุการณนี้ดูจะไม่ กว้างเท่าไหร่ เพราะแม้จะเป็นการปฏิรูปการเมืองที่หลายๆชาติอาจจะกลัว แต่การปฏิวัติครั้งนี้ก็ต้องถูกจุดบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นการปฏิวัติ ที่ Classic ที่สุด ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น หุ้นที่น่าจะกระทบน่าจะเป็นหุ้นที่พึ่งกลุ่มการเมืองในการดำเนินธุรกิจเป็น หลัก เพราะการเปลี่ยนรัฐบาลจะทำให้ความได้เปรียบเดิมของบริษัทนั้นลดลงไป หุ้นพวกนี้ผมว่ามีจำนวนไม่มากนัก เพราะงั้นจึงไม่น่าจะเป็นห่วงเท่าใด

มาตราการสำรอง 30%
นี่ เป็นวันที่ตลาดหุ้นลดลงภายในวันเดียวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือลงไปถึง 108 จุด Breaker ของตลาดหลักทรัพย์ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก เพื่อให้นักลงทุนได้มีเวลาหยุดคิดเมื่อตลาดลดลงไปถึง 10%

มาตราการนี้มีผลกระทบกับความน่าเชื่อถือของนักลงทุนต่างชาติพอสมควรดังนั้นผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือ
- หุ้นที่ต่างชาติชอบเล่น อาจจะโดนผลระยะยาว เพราะไม่รู้ว่าต่างชาติจะหันกลับมาหาไทยเมื่อไหร่
- หุ้นที่กู้เงินจากต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ที่มักจะออกหุ้นกู้ขายให้ต่างชาติในการระดมทุน กลุ่มนี้จะมีต้นทุนในการกู้ยืมในอนาคตที่สูงขึ้นเพราะต่างชาติจะโดนยึดเงิน ลงทุนไว้ 30% ทำให้ถ้าจะได้รับผลตอบแทนเท่าเดิมจะต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นพอสมควร
- หุ้นที่ออกกองทุนอสังหาหรือมีแผนที่จะออก เช่น ticon cpn จะทำให้เพิ่มทุนลำบากขึ้น ต้องขายอสังหาเข้ากองทุนในราคาที่ลดลง (อย่างไรก็ตามจากการที่พูดคุยกับผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าอีกไม่นาน มาตรา 30% จะยกเว้นให้กองทุนอสังหา เพราะฉะนั้นผลกระทบอาจจะไม่โดนมากนัก แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะยกเลิกเมื่อไร่ เพราะงั้นให้ถือว่าเสี่ยงไว้ก่อน)
- หุ้นที่มีสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จำนวนมาก เช่น บริษัทประกัน บริษัทพวกนี้จะลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร ซึ่งหลักทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลงจากมาตราการดังกล่าว ถึงแม้บริษัทประกันจะไม่ได้ขายหลักทรัพย์ออกไป และถือลงทุนระยะยาว บางคนอาจจะบอกว่าไม่กระทบ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยกฏการบันทึกบัญชีแบบ Mark to Market จะทำให้บริษัทประกัน และบริษัทที่มีเงินลงทุนเป็นหลักทรัพย์จำนวนมาก นั้นอาจจะต้องบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีเป็นจำนวนมากน้อยตามแต่ปริมาณและตัว หลักทรัพย์ที่มีอยู่

เหตุการณ์นี้ทำให้ผลได้ solution ว่าให้พยายามลงทุนในหุ้นตัวเล็กที่ต่างชาติไม่เล่น ไม่พึ่งเงินกู้ต่างชาติ ไม่มีสินทรัพย์ที่เป็นหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก บริษัทมีอนาคต และราคาลดลงตามตลาด หรือลดลงมากกว่าตลาด พิจารณาดูดีๆ หุ้นที่ผมถืออยู่ทุกตัวบังเอิญเข้าเงื่อนไขที่ผมตั้งขึ้นมาทุกอย่าง ว่าแล้วผมก็ถือหุ้นต่ออย่างสบายใจ (ใจจริงอยากจะซื้อเพิ่ม แต่หมดตังค์แล้ว :p)

ระเบิดวันปีใหม่
เหตุการณ์ นี้ถึงไม่ได้มีผู้บาดเจ็บมาก แต่สิ่งนึงที่ตามมาคือ ภาพลักษณ์ของประเทศดูแย่ลง ความเชื่อมั่นของคนลดลง แม้หุ้นจะลดลงไม่เยอะมาก (ประมาณ 20 จุด) แต่ว่าผมผลกระทบจริงๆอาจจะมากกว่ามาตราการ 30% ซะอีก มาดูกันครับว่ากลุ่มไหนต้องระวังตัวบ้าง
- กลุ่มท่องเที่ยว คนจะมาเที่ยวเมืองไทยก็ต้องมีหยุดคิดกันบ้างละครับ ยิ่งถ้ายังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ก็ยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกรึเปล่า การท่องเที่ยวคงลดลงไปบ้าง แต่คงไม่มากเหมือนตอนซึนามิ
- ห้าง ช่วงปีใหม่และต้นปีปกติจะเป็นช่วงที่ทำยอดขายได้ดี นับเป็นช่วงเวลากอบโกยของห้างเหมือนกัน ... ในช่วงนี้คนเดินห้างก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าอาจจะไม่ได้กินเวลานานมาก แต่ทำให้ช่วงไฮของการ shopping เสียโอกาสไปพอสมควร
- กลุ่มที่เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่นของประชาชน เช่น อสังหา รถ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การซื้อรถหรือบ้านมักจะถูกชะลดเป็นอันดับต้นๆ
- สินค้าที่ขายให้กับประชาชนโดยตรง (พวก B2C) เพราะความเชื่อมั่นที่ต่ำลง การจับจ่ายใช้สอยก็น่าจะลดลงด้วยแม้จะไม่มากเท่ากลุ่มอสังหาและยานยนต์

นี่ เป็นผลกระทบเท่าที่นึกออก แต่ออกตัวไว้ก่อนว่าครั้งนี้ผมมองโลกในแง่ร้ายกว่าที่ควรจะเป็นไว้เล็กน้อย เพราะผมยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะบานปลายไปมากกว่านี้หรือไม่ ถ้าเรื่องมันหยุดแค่นี้ ที่ผมเขียนไว้คงจะเกิดจริงไปบ้าง แต่ถ้าเหตุกาณ์มันลามมากขึ้นไอ้ที่เขียนไว้ก็อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในการลงทุนให้ปลอดภัย ก็หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มข้างต้นไว้บ้างก็ดีครับ สรุปอีกที ท่องเที่ยว ห้าง อสังหา ยานยนต์ และสินค้าที่ขายให้กับประชาชนโดยตรง

กลุ่มที่ไม่น่า จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญก็น่าจะเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าให้กับองค์กร (แต่ไม่นับวัตถุดิบที่จะนำไปผลิตเป็นสินค้า Consumer) เพราะผมยังเชื่อว่าองค์กรส่วนใหญ่ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป สมมติว่าบริษัทวางแผนจะวางระบบคอมพิวเตอร์เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผมก็เชื่อว่าเค้าก็คงไม่เปลี่ยนแผนง่ายๆขนาดนั้น

เหตุการณ์แบบนี้ อย่ามัวตื่นตกใจ ให้ตั้งมั่นสติให้ดี คิดอย่างรอบคอบว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้นโดนผลกระทบหรือไม่ อย่าเพิ่งคิดว่าจะขาดหุ้นเพราะหวังจะไปซื้อหุ้นที่ราคาต่ำว่า เพราะเมื่อคุณขายหุ้นในขณะที่คนส่วนใหญ่ก็คิดที่จะขาย ราคาที่ขายได้ก็จะต่ำมาก ซึ่งบางครั้งราคานั้นอาจจะเป็นราคาที่สะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้วก็ได้ วิธีที่ดีในเหตุการณ์แบบนี้ผมว่า ให้คิดว่าธุรกิจของหุ้นที่ถือกระทบมากน้อยแค่ไหน ถ้ากระทบมากก็ขายไปก็ได้ แต่ถ้ากระทบน้อยแต่ราคาลงไปหนัก ก็เป็นโอกาสที่จะซื้อหุ้นราคาถูก ยิ่งถ้าธุรกิจของหุ้นเราไม่กระทบเลยแล้วราคาไหลลงหนักๆ ก็ยิ่งต้องซื้อ แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไรคิดให้ดีก่อนนะครับ ไม่ใช่ว่าคิดไม่รอบคอบแล้วไปซื้อเอาๆ แล้วมารู้ทีหลังว่าคิดผิดแบบนี้อาจจะกลายเป็นขาดทุนหนักกว่าเก่าได้

สวัสดีปีใหม่ครับ .. ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายสุขภาพใจ และสุขภาพ port ที่แข็งแรง กันตลอดทั้งปี

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘