Wednesday, December 06, 2006 อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

การลงทุนเล่นหุ้น หลายๆครั้งเราจะมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ห่างจากตลาดหุ้นไปบ้างเป็นบาง โอกาส บางคนก็อาจจะไม่สบายใจถ้าจะต้องถือหุ้นคา port เอาไว้โดยที่ไม่มีเวลาติดตาม อาจจะกลัวว่าระหว่างที่ตัวเองอยู่ห่างจากตลาดหุ้น หุ้นอาจจะลงทำให้ตัวเองขายทุนหนัก หรือหุ้นอาจจะขึ้นจนขายไม่ทัน บางคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ ไม่รู้ร้อนหนาวอะไร .. ความรู้สึกในจุดนี้เป็นตัวแบ่ง vi ออกจากนักลงทุนทั่วไปได้ในระดับหนึ่ง ... เพราะการลงทุนแบบ vi นั้นคือการลงทุนที่มองถึงตัวธุรกิจในระยะยาว ราคาที่ผันผวนรายวันในระยะสั้นนั้นไม่ควรมีผลต่อการตัดสินใจอย่างมีนัยสำคัญ พอดีว่าช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาผมไปอยู่ที่ภูเก็ตมา (เลยไม่ได้มา update blog ไปพักนึง .. แต่ยังไม่ได้หายไปไหนนะครับ) ทำให้ผมอยู่ห่างจากตลาดหุ้นมาพักนึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือรู้สึกโล่งและปลอดโปร่ง ไม่ต้องมากังวลว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง การที่เราไม่รู้ราคาหุ้นทำให้ผมเอาเวลาไปทำเรื่องอื่นๆได้อย่างสบายใจขึ้น แทนที่จะต้องมานั่งเครียดรายวันว่าในวันๆนึงเราจะรวยขึ้นหรือจนลงเป็นเงิน เท่าไหร่ ....

ก่อน หน้านี้ผมก็มีช่วงเวลาที่อยู่ห่างจากตลาดหุ้นเป็นเวลานานพอควร คือเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ผมซื้อหุ้นไว้เต็ม port แล้วก็บินไปเรียนภาษาที่อเมริกาอยู่ 8 เดือน ... ตอนที่อยู่อเมริกานั้นผมใช้เวลาดูหุ้นน้อยมากๆ คือสัปดาห์นึงไม่เกิน 1 ชม. และจะคอยติดตามบ่อยจริงๆ ก็ช่วงที่ใกล้กับที่บริษัทออกผลประกอบการ ผลก็คือยิ่งผมใช้เวลาอยู่กับตลาดหุ้นน้อยลงเท่าไหร่ ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น้อยลงเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดในช่วง 8 เดือนที่อยู่อเมริกานั้นผมเทรดหุ้นไม่เกิน 1-2 ครั้งเท่านั้นเอง .. ทางด้านผลตอบแทนก็ทำได้ดีมาก อาจจะเพราะว่าหุ้นที่ผมเลือกก่อนไปเรียนนั้น ผมก็คิดมาอย่างดีว่าจะซื้อเฉพาะหุ้นที่ผมคิดว่าธุรกิจน่าจะมีแนวโน้มที่ดีใน ระยะยาว และในช่วง 8 เดือนที่เรียนถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากที่จะซื้อขายหุ้น การคิดแบบนี้ทำยิ่งทำให้เรามองการซื้อหุ้นเป็นการลงทุนในธุรกิจมากยิ่งขึ้น ความคิดก็จะหนีห่างจากการลงทุนที่เป็นระยะสั้น หุ้นที่เลือกมาเลยผ่านการกรองที่ละเอียดขึ้น และสุดท้ายบริษัทที่เราเลือกมาก็มีเวลามากเพียงพอในการแสดงผลการดำเนินงาน และผลักดันราคาหุ้นให้วิ่งตามทันกับผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้น

อีก ครั้งที่ผมห่างจากตลาดหุ้นคือช่วงเวลาที่ผมไปบวชเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน แม้จะไม่นานเท่ากับตอนที่ไปเรียนภาษา แต่สถานการณ์ที่แตกต่างกันคือ ตอนไปเรียนนั้นผมยังมีคอมพิวเตอร์ให้ติดตามข่าวสารได้บ้าง ในขณะที่ตอนที่ผมบวชนั้นผมปิดตัวจากโลกภายนอก คือไม่ได้มาสนใจตลาดหุ้นเลย และก่อนที่ผมจะบวช ผมก็ใช้แนวคิดคล้ายๆกันว่าผมจะเลือกหุ้นที่ธุรกิจดี ออกให้ห่างจากการเกร็งกำไรระยะสั้น และเลือกหุ้นที่จะถือโดยคิดว่าต้องเป็นหุ้นที่ ต่อให้ตลาดหุ้นปิดทำการไป 1 เดือน ผมก็ไม่เดือดร้อน (บางท่านอาจจะมองต่างกันไปว่าจะบวชทั้งทีทำไมไม่ขายหุ้นออกมาให้หมด จะได้ตัดขายจริงๆ ผมไม่ขอเถียงในเรื่องนี้ละกันนะครับ เพราะมุมมองแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าผมสามารถตัดขาดได้แม้จะต้องถือหุ้นอยู่ก็ตาม) หลังจากผมสึกออกมา หุ้นหลายๆตัวที่ผมซื้อไว้เต็ม port ก่อนจะบวชก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปอีกเป็นเวลานาน เพราะธุรกิจก็ยังดีเติบโตต่อเนื่องราคาก็ไม่ได้แพงอะไร และที่สำคัญเป็นหุ้นที่ผ่านกระบวนการการเลือกที่ตรงตามหลัก vi อย่างแท้จริง

สำหรับ คนที่อาจจะยังไม่เคยได้ห่างจากตลาดหุ้นเป็นเวลานานจริงๆ ลองฝึกดูก็ได้นะครับ ก่อนจะซื้อหุ้นลองพยายามคิดไว้ในใจเสมอว่า หุ้นที่เราจะถือนั้นให้เลือกเฉพาะหุ้นที่เราจะถือไปอย่างไม่เดือดร้อน ถึงแม้ตลาดหุ้นจะปิดทำการไปซัก 1/2 หรือ 1 ปี การเลือกหุ้นด้วยความคิดแบบนี้จะทำให้เรามีมุมมองที่ดีขึ้นในการเลือกหุ้น และเข้าใกล้ความเป็น vi ได้มากขึ้น (จริงๆแล้วถ้าเอาต้นตำรับแนวคิดนี้จริงๆ ก็คือ คุณลุง Buffett ซึ่งลุงแกจะเลือกหุ้นที่แกคิดว่าแกจะถือไปจนตัวเองตาย หรือต้องเป็นหุ้นที่จะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ถ้าตลาดหุ้นจะต้องปิดไป 10 ปี ผมเองยังทำไม่ได้ในระดับนี้ แต่ในระดับที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศเป็นนักเก็งกำไรกันเป็นจำนวนมาก ถ้า vi มือใหม่แบบพวกเรา ลองฝึกคิดให้ได้ในระดับ 1/2 หรือ 1 ปี ผมก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘