Tuesday, September 11, 2007 ตำนานแอร์

ในช่วงนี้มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งที่ผมติดตาม มานาน และถืออยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงมีคนที่รู้จักหลายคนซื้อหุ้นนี้ไว้พอสมควร ราคากำลังไหลลงอย่างน่าตกใจ มีคนโทรมาถามผมด้วยความเป็นกังวลอย่างมาก พอดีกับพี่ปรัชญาได้ตั้งกระทู้ในเวป thaivi ไว้ให้ร่วมเขียนตำนานแอร์ เพราะตอนนี้กลายเป็นหุ้นที่มีการพูดคุยกันอย่างมาในเวป ผมเลยถือโอกาสร่วมเขียนตำนานด้วย พร้อมไปกับการอธิบายให้เข้าใจถึงหุ้นตัวนี้มากขึ้น เพื่อให้คนที่อาจจะยังกังวลกับราคาที่ลดลงอย่างมากนั้นสบายใจขึ้นแล้วได้ เข้าใจธุรกิจของหุ้นตัวนี้มากขึ้น

************************************

มาขอร่วมเขียนตำนานแอร์ด้วยคนครับ
วัน ที่ผมรู้จักหุ้น snc ครั้งแรกคือที่งาน oppday ครับ ช่วงนั้น snc เพิ่งเข้าตลาดมาได้ไม่นานนัก น่าจะเข้ามาปลายๆปี 47 งาน oppday ที่มาน่าจะเป็นช่วงต้นปี 48 ซึ่งเป็นงานแถลงผลประกอบการรายปีครั้งแรกของ snc ที่ oppday วันนั้นถ้าจำไม่ผิดมีลุงขวดและพี่พีไปนั่งฟังด้วย ...


ปกติ เวลาผมจะซื้อหุ้นซักตัวผมจะต้องทำการบ้านมาก่อนอย่างดี อ่าน 56-1 อ่านงบการเงิน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัทมาพอสมควร แล้วจึงตัดสินใจซื้อ แต่สำหรับ snc กลับแปลกไป คือผมได้ฟังคุณสามิตต์และคุณสมชัยพูดเพียงครั้งเดียว จริงๆแกยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ ผมรีบเดินออกไปนอนห้องแล้วซื้อหุ้น snc ทันที เหตุผลหลักๆที่ซื้อในตอนนั้นน่าจะเป็น
- เป้าหมายการเติบโตของบริษัทที่ค่อนข้างสูง
- เหตุผลในการเติบโตของเค้าก็ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือและเป็นไปได้ คือบริษัทมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่ามีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าลูกค้า และไม่มีคู่แข่งโดยตรง วันนั้นยังจำได้แม่นครับว่ามีคนถามว่าคู่แข่งของ snc คือใคร คุณสมชัยก็ตอบว่าคู่แข่งคือลูกค้า เพราะเราจะต้องทำงานให้มีคุณภาพทัดเทียมกับลูกค้าในขณะที่มีต้นทุนที่ต่ำ กว่า เพื่อจะให้ลูกค้านั้นยกสายการผลิตมาให้ snc
- ฐานะทางการเงินดี
- ชอบการตอบคำถามของผู้บริหาร
- และที่สำคัญคือชอบการบริหารคนของ snc ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดึงคนเก่งๆเข้ามาทำงาน และการสร้างพนักงานจากภายในด้วยโครงการ mini MD (แซว woody ว่าไม่ใช่ mini MBA นะครับ)

ผมซื้อหุ้น snc ไปได้จำนวนหนึ่ง ราคาน่าจะอยู่ประมาณ 3.30-3.40 แล้วผมก็รอวันไปประชุมผู้ถือหุ้นเพราะยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากรู้เพิ่ม เติมเกี่ยวกับ snc วันที่ไปประชุมก็ต้องถือว่ามีคนเยอะพอสมควร เพราะปกติหุ้นใหม่ๆที่ขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่น่าจะมีคนเข้ามาเยอะขนาดนี้ เอ.. หรือว่าจะเป็นหน้าม้าของบริษัทก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่วันนั้นมีโอกาสได้รู้จักท่านผู้ถือหุ้น snc รายใหญ่ท่านหนึ่ง จำไม่ได้ว่าตอนนั้นมีอยู่กี่ล้านหุ้น แต่ตอนนี้ท่านมีอยู่ประมาณ 3.4 ล้านหุ้น

ในงานประชุมผู้ถือหุ้นวันนั้นเกือบผมยิงคำถามไม่หยุดเลย เพราะอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับ snc มายิ่งขึ้น จนท่านประธาน ตอนนั้นคุณสมชัยยังไม่ได้เป็นประธาน แต่เป็นพี่ชายแก ติงผมว่าให้คนอื่นเค้าถามบ้าง (คำถามวันนั้นประมาณ 90% เป็นของผม) แม้จะเขินๆอยู่บ้าง แต่ก็คุ้มค่าที่ได้รู้จักหุ้น snc มากยิ่งขึ้น วันนั้นคำตอบที่ทำให้ผมสบายใจมากๆอย่างนึงของ snc ก็คือเรื่องต้นทุน และการเปิดเผยต้นทุนให้กับลูกค้า ทำให้การปรับราคาสินค้านั้นสามารถผลักภาระไปให้ลูกค้าได้เกือบ 100% ไม่ว่าทองแดงจะขึ้นหรือลง ไม่ว่าจะเงินจะเป็นอย่างไร snc ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลนี้ทำให้ผมเห็นว่านอกจากบริษัทจะมีต้นทุนต่ำกว่าลูกค้า มีความแข็งแกร่งทางการตลาดแล้ว ยังยืนยันให้เห็นว่าอำนาจการต่อรองของลูกค้าต่อ snc นั้นไม่ได้สูงมากอย่างธุรกิจ oem ทั่วๆไป

หลังจากประชุมในครั้งนั้น ผมได้ออกมาคุยกับคุณสมชัยเพิ่มเติม ซึ่งคุณสมชัยให้การต้อนรับอย่างดีมากๆ ตอบคำถามทุกคำถามได้เคลียร์ ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผมได้จากคุณสมชัยในวันนั้นผมเอาไปใส่ไว้ใน 100 คน 100 หุ้นในหน้าแรกๆแล้ว ลองไปตามอ่านกันได้

เมื่อได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจแล้วผมก็ซื้อหุ้น snc เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอันดับ 1 ของ port ...

เวลา ผ่านไปแต่ละไตรมาศ เป็นเวลาหลายไตรมาศ snc ก็ยังคงทำผลกำไรได้เป็นอย่างดี และมาตอบคำถามในงาน oppday อย่างต่อเนื่องทำให้ผมเข้าใจธุรกิจของ snc มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งผมรู้จัก snc มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งชอบหุ้นตัวนี้มากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ 3.3 3.5 3.8 4 4.5 5.0 5.5 6.0 เมื่อถึงจุดหนึ่งผมก็ขายหุ้นออกไป ราคาเท่าไหร่จำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าบริษัทไม่ดี แต่เพราะไปเจอหุ้นตัวใหม่ที่ราคาถูกกว่ามากๆ

ใน ปี 49 ผมทำกำไรจากหุ้นได้สูงมากๆจากหุ้นตัวอื่นๆ ในขณะที่ snc กลับมีราคาที่ไม่ค่อยจะไปไหนเท่าไหร่ วนเวียนอยู่แถวๆ 6-7 บาท บางช่วงก็มีลดลงไปเหลือ 5 บาทต้นๆบ้าง ทั้งนี้สาเหตุน่าจะมาจากการที่คนเห็น GPM ของบริษัทลดลงเรื่อยๆ และเริ่มเห็นว่า snc เองก็คงเป็นบริษัท oem ทั่วๆไปที่ไม่มีได้ความแข็งแกร่งอะไรมาก ทำให้อัตราส่วนในการทำกำไรนั้นลดลงต่ำเรื่อยๆ บวกกับการที่ snc มีการลงทุนซื้อโรงงานใหม่จากระยอง ลงทุนเครื่องจักรผลิต metal sheet หรือที่โดยคนเรียกกันว่า "เหล็กมหาภัย" ยิ่งมาฉุดผลกำไรของ snc ไม่ให้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น คนหลายๆคนอาจจะมองว่าไม่ดีแล้ว แต่ในความคิดของผม จากการที่ติดตามมานานผมกลับเห็นว่านี่เป็นโอกาสซื้ออันดี ผมจึงขายหุ้นตัวอื่นๆออกไปหลังจากได้กำไรมาเยอะ กลับมาซื้อ snc อีกครั้งแถวๆราคา 7 บาทอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้เนื่องจากผมสามารถตอบ คำถามของ GPM ที่ลดลงนั้นได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลนั้นทำให้ผมมั่นใจว่า snc นั้นมีอำนาจต่อรองแตกต่างจาก oem ทั่วๆไป เพราะ
- การที่ GPM นั้นลดลงเพราะว่าทองแดงมีราคาขึ้นมากจากปี 48 -49 ขึ้นมาประมาณ 1 เท่า ทีนี้ลองใช้สมมติฐานที่ snc เคยบอกไว้ว่าเค้าสามารถผลักภาระไปให้ลูกค้าได้ สมมติว่าต้นทุนท่อ 1 ชิ้นเท่ากับ 8 บาท snc ขายให้ลูกค้า 10 บาทได้กำไร 2 บาทหรือ GPM 20% แล้วราคาทองแดงเพิ่มขึ้นมากทำให้ต้นทุน snc เพิ่มเป็น 10 บาท snc จึงผลักภาระไปให้ลูกค้าแล้วขายเป็น 12 บาท ก็ยังกำไร 2 บาทเหมือนเดิม แต่ว่า GPM ลดเหลือ 16.7% ซึ่งทำให้ GPM ลดลง คนก็ตกใจ
- การขาดทุนของ Metal Sheet นั้นคนก็กลัวเพราะเห็นว่าจะ Break even มาหลายรอบก็ยังไม่ Break ซะที แต่ผมเข้าใจเพราะว่าบริษัทมีการลงทุนเครื่องจักรตัวนี้เพิ่มเยอะมากๆ เพราะมี order มากกว่าที่คิดไว้แต่แรก บวกกับการที่ตัดค่าเสื่อมเครื่องจักรตัวนี้สูงมาก (เพื่อผลประโยชน์ทางภาษี) ปกติอายุการใช้งานเครื่องจักรอยู่ได้เกิน 10 ปี แต่ snc ตัดเพียง 5 ปี ทำให้ตัวเลขที่เห็นนั้นยิ่งมีผลขาดทุนมากขึ้น แต่มันกลับทำให้ผมเห็นว่าบริษัทนี้ไม่ได้มองถึงตัวเลขระยะสั้นว่าจะให้กำไร มาก แต่ยอมขาดทุนในวันนี้ (ตัดค่าเสื่อมสูง) เพื่อให้เสียภาษีน้อยที่สุด และเป็นผลประโยชน์ในระยะยาวกับบริษัทมากที่สุด
- การลงทุนอย่างหนักนั้นมีคนกังวลพอควร เพราะเห็นค่าเสื่อมค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นในขณะที่รายได้ยังไม่เข้ามา แต่คุณสมชัยบอกพวกเราว่า "แกกำลังเอากุ้งไปตกมังกร" เราต้องยอมเสียสละของดีๆในวันนี้ (ผลกำไร) เพื่อให้ได้ของที่ดีกว่ามากๆ ในวันข้างหน้า และผมก็เชื่อแก

ในช่วงต้นปี 50 หุ้น snc ก็ยังคงไม่ไปไหนไกลมาก ยังวนเวียนอยู่แถวๆ 7 บาทอยู่ ผมเชื่อว่ามีผู้ถือหุ้นจำนวนมากเหนื่อนหน่ายกับราคาหุ้นที่ไม่ไปไหนมาเกือบ 1 ปี แต่ผมว่าเวลามันคงใกล้มาถึงแล้วแหละ

หลังจาก oppday แถลงผล Q1 คุณสมชัยเริ่มพูดให้เราเห็นถึงแผนที่แกวางเอาไว้ตั้งแต่ปีก่อน ที่แกลงทุนมาเยอะๆ ยอมขาดทุนมาพักใหญ่ และแผนนั้นก็ชัดเจนมากขึ้นว่าแกพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้ประกอบแอร์ที่มีต้นทุน ต่ำกว่าลูกค้า เพราะมี economy of scale เพราะผลิตชิ้นส่วนด้วยตัวเอง เพราะมีค่า admin ที่ต่ำกว่าการจะซื้อชิ้นส่วนมาจากหลายๆที่แล้วเสียค่า admin หลายๆรอบ ... ราคาหุ้นก็เริ่มไต่จาก 7 บาทเป็น 8 บาท 9 บาท 10 11 12 13 ในเวลาไม่นาน

วันที่ไป visit บริษัทที่ระยองเป็นวันเสาร์ที่ 14 ก.ค. 50 ผู้ถือหุ้นและผู้ที่สนใจรวมถึงนักวิเคราะห์จำนวนมากได้ไปชมการทำงานของ บริษัทด้วยตาตัวเอง ผมว่าหลายๆคนคงทึ่งในระบบการทำงาน การจัดงานโรงงานที่เรียบร้อย พนักงานที่ขยันขันแข็ง การต้อนรับที่อบอุ่นและผุ้บริหารชั้นยอดจากวงการแอร์และวงการใกล้เคียงที่ คุณสมชัยไปจีบมาให้ช่วย snc ผมก็คนหนึ่งละที่ประทับใจเป็นอย่างมาก

วัน นั้นยังมีคนแซวๆคุณสมชัยอยู่เลยว่าเมื่อวาน (วันศุกร์ 13) หุ้น snc วิ่งมาถึง 13 บาท .... แบบนี้วงสัยวันจันทร์ที่ 16 คงจะกลายเป็น 16 บาทแหง๋ๆ .. ผมเห็นคนพูดติดตลกไป แต่ก็ยังแอบคิดอยู่ในใจว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้ เพราะหลังจากได้ไปดูโรงงานด้วยตัวเอง ได้ไปฟัง vision ของคุณสมชัยก็ทำให้มั่นใจกันมากขึ้น

เปิดมาวันจันทร์ผมตั้งใจว่าจะ ซื้อเพิ่ม เลยบอกมาร์เก็ตติ้งไปว่าซื้อเพิ่มราคาไม่เกิน 13.5 บาทเอาหมด ... แต่กลายเป็นว่าหุ้นเปิดมาราคา 13.6 แล้วไม่นานนักก็วิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นแล้วยังแอบเสียดาย

หุ้น วิ่งไปสูงถึงประมาณ 18 บาท ... ในขณะที่ช่วงหลังๆเริ่มหย่อยลงมาบ้าง เพราะคุณสมชัย hint ให้นักลงทุนพอรู้ว่าบริษัทอาจจะต้องเพิ่มทุนเพื่อเอามารองรับกับแผนธุรกิจ ก้าวกระโดดของแก ... ผมเองก็เตรียมเงินเอาไว้จำนวนนึงเพื่อรองรับกับการเพิ่มทุน .... ผมคิดไว้ว่าบริษัทน่าจะเพิ่มทุนประมาณ 500 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังคิดว่าต่อให้เพิ่มทุนขนาดนั้นแล้ว ราคาเป้าหมายของ snc มันก็ยังยั่วยวนผมให้ถือหุ้นต่อไปอยู่ดี และพร้อมที่จะควักกระเป๋าเพิ่มทุนไปด้วย

แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 3 ก.ย. ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน snc ก็ประกาศเพิ่มทุนแบบ PO คือขายประชาชนทั่วไป 100 ล้านหุ้น ซึ่งน่าจะตีเป็นเงินได้ประมาณ 1000 ล้านกว่าบาท ... :shock: ผมเองก็ยังตกใจพอสมควร เพราะจำนวนมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ตั้ง 1 เท่าตัว ...

คำ ถามในใจก็เริ่มเกิดขึ้นมากเรื่อยๆ เอ...ทำไมเพิ่มทุนมากขนาดนั้น เอ.. หุ้นจะโดน dilute ขนาดไหนเนี่ย ทำไมไม่เพิ่มทุนแบบ RO อย่างน้อยผู้ถือหุ้นก็มีสิทธิได้ซื้อ ... คิดไปต่างๆนาๆ วันนั้นโทรศัพท์ผมแทบไหม้ เพราะคนโทรมาปรึกษาเยอะมากๆ (ขอโทษท่านที่อาจจะม่ได้โทรกลับด้วยครับ ผมเจ็บคนจริงๆ)

แล้วก็มี โอกาสได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนๆพี่ๆที่ได้โทรไปถามบริษัทถึงเรื่องเพิ่ม ทุน ก็ทำให้ผมสบายใจมากยิ่งขึ้นว่าการเพิ่มทุนนั้นมีแผนงานรองรับอย่างดี ทุกอย่าง รวมถึงได้รับคำตอบที่จริงใจจากคุณสมชัยว่าทำไมไม่ทำ RO ... แกตอบผมตรงๆว่า "แกมีแผนใช้เงินจำนวนมาก .. อยากได้มากกว่าพันล้าน และแกไม่มีตังค์เพิ่มทุนมากขนาดนั้น"

วันนี้ราคาหุ้น snc ไหลลงมาลึกเรื่อยๆ เหลือประมาณ 12 บาทจากสูงสุด 18 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 1 floor พอดิบพอดี ... เป้าหมายหุ้น snc ของผมนั้นลดลงจากที่คิดไว้ตอนแรกเพราะการเพิ่มทุนจำนวนมากกว่าที่ผมคิดทำให้ เกิดการ dilute มาก .. แต่แล้วเมื่อสติสตังเริ่มกลับคืนมา สมองมันก็เริ่มทำงานอย่างเต็มหน้าที่ที่ควรจะเป็น .... คิดแล้วผมว่าราคาหุ้นที่ลงมามากขนาดนี้คงเป็นเหตุผลที่คนหลายๆคนคิดว่าจะขาย ไปก่อนแล้วค่อยไปซื้อคืนที่ราคาต่ำกว่า เพราะ PO มีแนวโน้มที่จะราคาต่ำกว่าตลาด .. ยิ่งขายก็ยิ่งลง ยิ่งลงราคา PO ในใจก็ยิ่งลด เมื่อราคา PO ลดราคาก็ลงไปอีก... คนยิ่งกลัวยิ่งขาย แต่ผมมานั่งคิดว่าเหตุการณ์นี้คล้ายๆกับ snc เมื่อตอนปี 49 ที่ราคาหุ้นไม่ไปไหน เพราะคนกลัว แต่จริงๆแล้วพื้นฐานของบริษัทยังไม่ได้เปลี่ยนไปในทางไม่ดี จริงๆแล้วอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมมากก็ได้ ... แต่การเจ็บในวันนี้ก็เพื่อการเติบโตในวันข้างหน้า ....

ในวันนั้นคุณ สมชัยบอกว่า "ผมเอากุ้งไปตกมังกร" กุ้งโยนลงไปแล้วมังกรติดเบ็ดแล้ว ... ตอนนี้คงกำลังเย่อกับมังกรอยู่ก็มีเจ็บตัวบ้าง ก็ต้องรอเวลาพิสูจน์กันต่อไป .. แต่ดูเหมือนว่าเป้าหมายต่อไปของแกคงไม่ใช่แค่มังกรแล้ว ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าอะไรมันจะใหญ่กว่ามังกรอีก ก็ต้องรอคิดตามกันเรื่อยๆ หนังเรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ... ผมยังติดตามอยู่อย่างดี เพราะชอบตัวพระเอกที่มีการพัฒนาการเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แม้บางช่วงของหนังจะมีเศร้าเคล้าน้ำตาบ้าง ... แต่ในความเห็นผมก็ยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว หนังเรื่องนี้จะจบลงอย่าง Happy Ending

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘