Tuesday, July 17, 2007 ความถนัดส่วนตัว

อู้มาร่วมๆเดือนคร้บ ... จริงๆไม่ใช่อะไรหรอก.. อยากโฆษณา DVD Thaivi นานหน่อยๆ (ข้ออ้างของคนขี้เกียจ) กลับมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ...

ผม เชื่อว่าทุกคนนี่มีความถนัดแตกต่างกันไป .. บางคนก็เรียนเก่ง บางคนทำงานเก่ง อีกส่วนหนึ่งเล่นกีฬาเก่ง หรือเรียกรวมๆว่าพรสวรรค์ ถ้าเราสามารถหาพรสวรรค์ของตัวเองเจอได้ แล้วมุ่งเน้นทางนั้นให้เก่งไปเลย ผมว่าโอกาสประสบความสำเร็จนี่สูงมาก

การ ลงทุนผมว่าก็มีส่วนคล้ายๆกันอยู่พอสมควร แต่ละคนนั้นมีกลุ่มธุรกิจที่ถนัดแตกต่างกันไป บางคนเป็นหมอก็เข้าใจโรงพยาบาลดีหน่อย คนจบวิศวะก็อาจจะถนัดลงทุนในหุ้นที่เป็นอสังหา หรือว่าพวกสายการผลิต .. หรือบางคนเองมีอาชีพแบบหนึ่งแต่อาจจะมีความเข้าใจธุรกิจที่ต่างจากสายตัวเอง ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าความรู้ที่สั่งสมมานั้นส่วนใหญ่เป็นแนวไหน ผมเองก็ค้นพบว่าตัวเองส่วนใหญ่จะลงทุนได้ดีกับหุ้นที่เป็นพวกผลิตแนววิศวะ เช่นพวกหุ้นรับเหมา หุ้นรับจ้างผลิต เป็น 2 กลุ่มที่ผมเชียวชาญนี่สุด ซึ่งก็โชคดีซะด้วยที่หุ้นพวกนี้ในตลาดมีให้เลือกเล่นเยอะมาก ผมว่าเกินครึ่งได้

พอ ผมรู้ว่าความถนัดของผมคือหุ้น 2 ประเภทนี้ .. เลยทำให้การ screen หุ้นของผมนั้นง่ายขึ้นมาก เพราะหุ้นทั้งตลาดมีกว่า 400 ตัว การที่จะมานั่งไล่ดูทีละตัวก็จะเป็นการเสียเวลา เวลาดูหุ้นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นกลุ่มนอกที่ผมถนัดผมก็จะตัดทิ้งออกไปก่อนเลย (จะหันมาสนใจกรณีที่มีคนบอกว่ามันดีจริงๆ หรือมันเห็นเด่นชัดว่าดีมากๆ) หุ้นกลุ่มที่ผมไม่ยุ่งเลยคือ กลุ่มเกษตร กลุ่มการเงิน กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหา ฯลฯ นอกจากจะสามารถลดจำนวนหุ้นได้แล้วก็ยังลดเวลาในการอ่านข้อมูลหาความรู้ด้วย .. เพราะปกติใน 1 วันผมจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ให้จบ 1 เล่ม ถ้าต้องมานั่งอ่านทุกข่าวก็เสียเวลาพอสมควร ผมจะก็เลิกเฉพาะข่าวที่มันน่าจะมีผลกระทบกับหุ้น 2 กลุ่มที่ผมถนัดเท่านั้น อย่างเช่น ข่าววันนี้ "แบรนด์รังนกร่วมวันแม่ดันยอด" ผมจะหันมาอ่านก็ต่อเมื่อมีเวลาเหลือจริงๆ หรือข่าวอสังหาที่เห็นอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ ผมก็ไม่ค่อยอ่านเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าอ่านไปก็คงไม่ได้นำมาใช้ (จริงๆก่อนหน้านี้ผมพยายามทำความเข้าใจธุรกิจอสังหามานานพอสมควร แต่อ่านเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่ามันยากเกินความสามารถจริงๆ หลังจากพยายามมาร่วมปี ผมก็หมดความอดทน เอาเวลาไปอ่านความรู้ในแนวทางที่เราถนัดให้มันเจาะลึกเพิ่มขึ้นดีกว่า)

ข้อ ดีของการกำหนดกรอบความถนัดส่วนตัวนอกจากจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปติดตามสิ่ง ที่เราไม่ถนัด และเหลือเวลามา focus กับธุรกิจที่เราถนัด หุ้นที่เราถนัดได้เต็มที่ ยังทำ ให้ตัวเองไม่หลงไปลงทุนในหุ้นที่ตัวเองไม่มีความเข้าใจเพียงพอ .. ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผมลองมานั่งสังเกตุตัวเองดู เมื่อไหร่ก็ตามที่เล่นหุ้นนอกเหนือจาก 2 กลุ่มนี้ ผมมักจะได้ผลตอบแทนที่ไม่ดีเท่าไหร่ และไม่ค่อยมีความสบายใจในการลงทุนเท่าที่ควร

หุ้น บางทีหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่ถึงอยู่ในกรอบความถนัดของผม ถ้าผมมีเวลาไม่นานบางทีผมก็อาจจะไม่สนใจก็ได้ .. เพราะหุ้นตัวใหญ่ๆนั้นมักจะมีธุรกิจเยอะแยะเต็มไปหมด มีบริษัทย่อยหลายสิบ .. ผมเคยพูดกับพี่คนนึงที่ปรึกษาหุ้นตัวใหญ่กับผมว่า "ผมขี้เกียจดูตัวนี้แหละพี่ .. กว่าจะวิเคราะห์ตัวนี้เสร็จ ผมเอาเวลาไปวิเคราะห์หุ้นตัวเล็กๆง่ายได้ 5 ตัวเลย" ...........

เพราะ ฉะนั้นแล้วว่าการกำหนดกรอบการลงทุนนี่เป็นเรื่องสำคัญเอามากๆ ถ้าใครกรอบใหญ่ก็ได้เปรียบ เพราะจะมีหุ้นให้เลือกเยอะหน่อย ถ้าใครมีกรอบเล็กก็ไม่ใช่ว่าจะเสียเปรียบจะทีเดียว เพราะจะได้เปรียบในเรื่องของการ focus ศึกษาความถนัดของตัวเองให้ลึกยิ่งขึ้น นอกเสียจากว่าจะถนัดในธุรกิจที่มันหาหุ้นในตลาดไม่ได้เลยเช่นถนัดธุรกิจ ประกันชีวิต .. ซึ่งในตลาดมีให้เลือกอยู่แค่ตัวเดียว .. แบบนี้คงต้องเจียดเวลาไปขยายกรอบความรู้ตัวเองให้มากขึ้นบ้าง

โดยสรุปแล้ว ถ้าใครมีเวลาจำกัด ให้เลือกลงทุนเฉพาะในกรอบความถนัดของตัวเองจะดีที่สุด
แต่ ถ้าใครมีเวลาเหลือ คุณมี 2 ทางเลือกครับ คือ เจาะความถนัดของตัวเองให้ลึกยิ่งขึ้นไปอีก (กรณีที่หุ้นที่อยู่ภายในกรอบของเรานั้นมีมากพอ) หรือ อ่านหนังสือ อ่านข่าวเยอะๆ เพื่อขยายกรอบความถนัดในกว้างขึ้น (กรณีที่หุ้นที่มีในกรอบความถนัดเดิมของเรานั้นมีน้อยจนเกินไป)

วันนี้อาจจะเขียนงงๆไปหน่อยนะครับ เพราะเขียนไปทำอย่างอื่นไปหลายๆอย่างพร้อมๆกัน

ปล. ภาษาลงทุนแบบฝรั่งเท่ๆเค้าเรียกไอ้ความถนัดส่วนตัวว่า Circle of Competence ครับ เผื่อไปอ่านเจอจากที่อื่นจะได้เข้าใจตรงกัน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘