Sunday, January 28, 2007 ข้อได้เปรียบของรายย่อย
ถ้าได้อ่านหนังสือการลงทุนทั่วไปๆ หนังสือพิมพ์หรือฟังสื่อต่างๆ เรามักจะได้ยินคำพูดหรือข้อเขียนจำนวนมากพูดถึงความได้เปรียบของนักลงทุนราย ใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทกองทุนทั้งหลายก็เน้นในเรื่องความได้เปรียบของการลงทุนแบบกอง ทุน เช่น
แต่ ก็ยังสงสัยว่าไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงข้อได้เปรียบของรายย่อยซักเท่าไหร่ เพราะจริงๆแล้วผมกลับมองในทางตรงข้ามกันว่า การเป็นรายย่อยเองถึงจะเสียเปรียบรายใหญ่อยู่หลายอย่าง แต่ถ้ามาคำนึงถึงข้อดีของรายย่อยแล้ว ผมว่ารายย่อยนี่กลับได้เปรียบรายใหญ่อยู่มากพอดูเหมือนกัน .. เพราะฉะนั้นคนที่ชอบคิดว่าเรามีเงินน้อยๆ จะไปลงทุนให้ได้ดีนั้นเป็นไปได้ยาก อยากขอให้ปรับความคิดเสียใหญ่หลังจากได้อ่านบทความนี้
ข้อได้เปรียบของรายย่อย
- กองทุนนั้นบริหารแบบมีอาชีพ คือมีผู้บริหารกองทุนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการลงทุน
- กองทุนนั้นมีข้อมูลที่มากกว่า เพราะมีการติดตามข้อมูลข่าวสารของหุ้นเป็นจำนวนมาก และมีนักวิเคราะห์หลายสำนักทำบทวิเคราะห์ออกมาให้
- การเป็นรายใหญ่นั้นทำให้การเข้าถึงผู้บริหารนั้นทำได้ง่ายกว่ารายย่อยมาก
- หรือจะเป็นเรื่องของการกระจายความเสี่ยงที่ทำได้มากกว่าเพราะมีเงินมากกว่า ฯลฯ
แต่ ก็ยังสงสัยว่าไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงข้อได้เปรียบของรายย่อยซักเท่าไหร่ เพราะจริงๆแล้วผมกลับมองในทางตรงข้ามกันว่า การเป็นรายย่อยเองถึงจะเสียเปรียบรายใหญ่อยู่หลายอย่าง แต่ถ้ามาคำนึงถึงข้อดีของรายย่อยแล้ว ผมว่ารายย่อยนี่กลับได้เปรียบรายใหญ่อยู่มากพอดูเหมือนกัน .. เพราะฉะนั้นคนที่ชอบคิดว่าเรามีเงินน้อยๆ จะไปลงทุนให้ได้ดีนั้นเป็นไปได้ยาก อยากขอให้ปรับความคิดเสียใหญ่หลังจากได้อ่านบทความนี้
ข้อได้เปรียบของรายย่อย
- ข้อ ดีที่เด่นที่สุดของรายย่อยคือโอกาสในการลงทุนนั้นมีมากกว่ารายใหญ่มาก ฟังแล้วอาจจะดูแปลกๆ รายย่อย (ที่เล็กหน่อย) นั้นบางทีอาจจะลงทุนให้หุ้นที่มีราคาแพงมากๆไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เช่นหุ้น ptt pttep scc เพราะจะซื้อหุ้นทีนึงก็ต้องซื้อไม่ต่ำกว่า 100 หุ้น ถ้าหุ้นราคา 100 บาท ก็ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าหมื่นในการจะซื้อหุ้นพวกนี้ได้ แต่ข้อจำกัดส่วนนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะคนที่เอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นผมว่า 10000 บาทไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไรเท่าไหร่ แต่สำหรับนักลงทุนรายใหญ่นั้นมีข้อจำกัดคือไม่สามารถลงทุนในหุ้นตัวเล็กและ หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำได้ เพราะเงินขนาด 100 ล้านขึ้นไปนั้นจะซื้อหุ้นที่มีมูลค่าตลาดซัก 200 ล้านนั้นก็ต้องซื้อหุ้นไปถึง 50% ของบริษัทแล้ว การใช้เงินจำนวนมากๆ มาซื้อหุ้นตัวเล็กๆหรือหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำๆนั้นค่อนข้างยากมากที่จะทำให้ ได้จำนวนที่ต้องการ เพราะมีหุ้นให้ซื้อไม่เยอะ ดังนั้นกองทุนก็มักจะซื้อแต่เฉพาะหุ้นขนาดตั้งแต่กลางถึงใหญ่ บางกองทุนที่มีเงินลงทุนสูงมากๆ ก็ลงทุนได้เพียงแค่หุ้นที่อยู่ใน Set50 ซึ่งมีหุ้นให้เลือกเพียง 50 ตัวเท่านั้น ในขณะที่รายย่อยนั้นมีหุ้นให้เลือกลงทุนได้ทั้งตลาด 400 กว่าตัวโดยไม่มีข้อจำกัด
- ราย ใหญ่บอกอีกว่าการลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ของเค้านั้นมีข้อดีคือหาข้อมูลได้ง่าย มีนักวิเคราะห์เขียนถึงหุ้นตัวนี้เยอะแยะ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลของเค้านั้นได้เปรียบ แต่ผมกลับมองว่าการที่มีคนติดตามหุ้นตัวนี้มากๆ กลับเป็นข้อเสียซะอีก เพราะหุ้นที่มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก โอกาสที่เราจะซื้อหุ้นในราคาถูกนั้นหายากเอามากๆ โอกาสทำกำไรก็ลดลงไปมากเช่นกัน เทียบกับหุ้นตัวเล็กๆไม่ได้ แม้ข้อมูลจะหายากแต่พอไม่มีคนมาสนใจซักเท่าไหร่ โอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูกก็มีมาก กำไรก็เยอะมากเช่นกัน
- แม้ กองทุนจะบอกว่าการบริหารของเค้ามีมือชีพที่มีความเชี่ยวชาญกว่า แต่ผมไม่เห็นด้วยอย่างนั้น เพราะผมเชื่อว่าการลงทุนนั้นไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมี IQ ที่สูงมากอะไรนัก สำหรับรายย่อยที่ยอมเสียเวลาในการศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุน และความรู้ด้านธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรมไม่ได้ลงทุนด้อยกว่ามืออาชีพในกอง ทุนสักเท่าไหร่นัก
- เรื่อง ของการกระจายความเสี่ยงซึ่งเป็นข้อดีของการมีเงินเยอะๆ ผมก็มองสวนทางอีกเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่าการที่จะลงทุนให้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปได้ จำเป็นจะต้องลงทุนแบบ Focus คือไม่ถือหุ้นมากตัวจนเกินไป การมีหุ้นซัก 10 ตัวผมว่าก็นับได้ว่ากระจายความเสี่ยงได้ดีพอสมควรแล้ว กองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงมากๆ ก็จะซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆเกือบทุกตัวใหญ่ตลาด ยิ่งรายใหญ่ซื้อหุ้นจำนวนตัวมากเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วผลตอบแทนก็แทบจะไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งผลก็เห็นได้ว่าโดยทั่วไปแล้วผลงานของกองทุนในระยะยาวแล้วก็ไม่ได้แตก ต่างจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นซักเท่าไหร่ (แต่กองทุนจโดนหักค่าบริหารทำให้ โดยเฉลี่ยผลตอบแทนมักจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย)