Sunday, January 21, 2007 หางาน vs หาหุ้น

เมื่อครั้งก่อนเพิ่งเขียนไปว่าจะขอลา ชั่วคราว ... แต่สุดท้ายมาคิดๆดูอีกที อุตส่าห์เขียนมาก็เกือบๆครึ่งปีแล้ว ไม่น่าจะมาหยุดเอาดื้อๆตอนนี้ เดี๋ยวคนอ่านจะพาลหนีหมด วันก่อนบอกว่าจะไป แต่วันนี้กลับมาใหม่ ไม่รู้จะมีใครแซวผมว่าใช้มาตรา flip-flop เหมือนมาตราการ 30% ของรัฐบาลชุดนี้รึเปล่าไม่รู้แฮะ :)

อีกไม่กี่ เดือนผมก็จะเรียน mba จบแล้ว ... ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะต้องหางานเอาไว้บ้าง เพื่อที่จะวางแผนว่าจบแล้วจะทำอะไรต่อไป .. ยอมรับครับว่าเลือกแล้วเลือกอีก ปวดหัวพอสมควร อยากได้งานที่ทั้งถนัด และถูกใจ ทั้งในแง่ของลักษณะ และบรรยากาศการทำงาน ระหว่างที่กำลังปวดหัวกับการหางานอยู่ก็เลยสังเกตุอะไรขึ้นมาได้อย่างนึงว่า บางครั้งการหางานนี่มันก็ดูคล้ายๆหาหุ้นไม่น้อยเหมือนกัน

หลายๆคนก็ คงผ่านประสบการณ์การหางานมาแล้ว การหางานนี่ถ้าเราจะมานั่งไล่หางานโดยไม่มีหลักการเลย ก็เหนื่อยอยู่ไม่น้อย จะให้นั่งไล่ไปทีละบริษัทว่าเค้ารับพนักงานประเภทพไหนบ้าง โดยที่ไม่ได้ตั้งขอบเขตเอาไว้เลยว่าเราต้องการงานแบบไหน คงใช้เวลานานโขน่าดู ดังนั้นเวลาผมหางานผมก็จะกำหนดลักษณะงานเอาไว้ก่อนว่าสิ่งที่ผมถนัดคืออะไร .. ซึ่งเท่าที่ดูตัวเองเท่าที่ผ่านมา ผมจะถนัดงานเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ธุรกิจ รวมถึงการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท .... ดูคร่าวๆแล้วก็เลยกำหนดงานที่สนใจอยู่ในประเภทงานทางด้านการเงิน .. ซึ่งทำให้การหางานนั้นเร็วขึ้น เพราะผมคงไม่ต้องไปเสียเวลาไล่ดูบริษัทประเภทอื่นๆ

การหาหุ้นผมก็ใช้ ลักษณะคล้ายๆกัน คือผมจะกำหนดกรอบความเข้าใจของผมขึ้นมาก่อนว่า ผมถนัดหรือไม่ถนัดในธุรกิจประเภทไหน ซึ่งผมเองไม่ค่อยถนัดในธุรกิจ
- การเกษตร เพราะเป็นกลุ่มที่มีปัจจัยที่คาดการณ์ยากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นดินฟ้าอากาศ หรือแม้แต่กฏเกณฑ์ต่างๆที่มักจะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อกีดกันสินค้าบางประเทภ
- ธุรกิจธนาคารและการเงิน ... อันนี้อาจจะฟังดูเหมือนว่าขัดกับความถนัดในงานการเงินที่ผมถนัด แต่จริงๆแล้วผมว่าความยากของธุรกิจธนาคารหรือการเงินนั้นมักจะอยู่ที่มาตรา ฐานทางการบัญชีและกฏเกณธฑ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการปรับเปลี่ยนกฏเล็กน้อยก็มักจะทำให้เกิดผลกระทบที่ยากเกินกว่าที่ผมจะ คาดเดา เช่นการตั้งสำรองหนี้ Basel2 ดอกเบี้ยที่ขึ้นหรือลงมีผลอย่างไร ฯลฯ ที่ยากเกินกว่าความสามารถของผม
- ธุรกิจอสังริมทรัพย์ ทั้งๆที่ผมเองก็เรียนจบมาทางวิศวโยธา เกรดก็ไม่ใช่น้อย แต่พอผมลองที่จะวิเคราะห์หุ้นอสังหานั้นกลับยากเหลือเกิน .. เช่น Key success factor อย่างหนึ่งของอสังหาก็คือทำเลที่ตั้ง คนที่จะเข้าใจจุดนี้ได้ดีจะต้องรู้เส้นทางการเดินรถ รู้สถานที่สำคัญ รู้ทำเลของคู่แข่งว่าใกล้เคียงเพียงใด ผมซึ่งไม่ค่อยจะเอาอ่าวเลยในเรื่องแผนที่ หรือสถานที่ต่างๆ คงยากมากที่จะเดาได้ว่าบริษัทใดมีการสร้างอสังหาในทำเลที่ดีเพียงใด ... นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ต้นทุนน้ำมัน การขึ้นลงของดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การเมือง และอีกหลายๆเรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจได้ง่ายๆ

ดังนั้นในการหาหุ้นผม ก็จะทำคล้ายๆกับการหางานคือจะต้องกำหนดขอบเขตความถนัดของตัวเองก่อน ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า Circle of Competence เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับสิ่งที่เราไม่ถนัด

นอกจากนี้ เวลาหางานผมก็ต้องเลือกงานที่ตัวเองสบายใจที่จะทำงานด้วย ต้องไปทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าว ก่อนว่าวัฒนธรรมการองค์กรนั้นๆเป็นอย่างไร เลือกร่วมงานเป็นยังไง รวมถึงเวลาเข้างานเวลาเลิกงาน ความก้าวหน้าในการงาน ความมั่นคงของบริษัทนั้นมากหรือน้อย และทำเลที่ตั้งว่าใกล้บ้านผมแค่ไหน เวลาเลือกหุ้นก็ต้องเลือกหุ้นที่ผมสบายๆใจที่จะถือด้วย โดยก่อนที่จะซื้อหุ้นตัวนึง ผมก็จะต้องทำการบ้านในการ ศึกษาธุรกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรม ฐานะทางการเงิน ความสามารถในการทำกำไร ฯลฯ ยิ่งผมรู้เกี่ยวกับบริษัทมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็จะเข้าใจว่าจะมีปัจจัยอะไรมากระทบทำให้อนาคตของบริษัทเบี่ยงเบนไปจากที่ ผมคิดเอาไว้ ซึ่งจะทำให้ผมนั้นมีความสบายใจในการถือหุ้นมากขึ้นเท่านั้น

ระดับ เงินเดือน ก็เปรียบได้เสมือนกับราคาหุ้น ก่อนจะตัดสินใจทำงานผมก็ต้องเลือกด้วยเช่นกันว่าบริษัทที่เราจะเข้าไปทำนั้น fit กับเรามากแค่ไหน งานที่จะต้องทำนั้นมากหรือน้อย เครียดหรือไม่เครียด และก็ต้องมาถ่วงน้ำหนักดูว่าเงินที่เค้าให้เรานั้นคุ้มค่าแค่ไหนกับสิ่งที่ เราจะต้องทำ การเลือกหุ้นก็ต้องดูคุณภาพบริษัทที่เราจะเข้าซื้อด้วย ถ้าคุณภาพดีมากๆ อนาคตสวยงาน ผมก็ยอมที่จะจ่ายแพงขึ้นหน่อย

และสุด ท้ายซึ่งเป็นแนวคิดของระยะเวลาในการลงทุน ... การเลือกงานผมคงไม่เลือกงานที่คิดว่าอีก 1 เดือนผมจะลาออก ดังนั้นการเลือกงานจริงๆแล้วจะต้องคิดว่างานที่เราจะทำนั้นจะต้องทำให้เรามี ความสุขที่จะอยู่ไปเป็นเวลาพอสมควร เพราะการเปลี่ยนงานบ่อยๆนั้นคงไม่ดีต่อทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพของ resume เท่าซักเท่าไหร่ การเลือกหุ้นผมก็เลือกหุ้นที่ผมคิดว่าบริษัทจะดีไปอีกนาน อย่างต่ำก็ 1-2 ปี เพราะบางครั้งกว่าที่หุ้นราคาถูกจะเดินหน้าเข้าสู่ราคาที่เหมาะสมของมันก็ ต้องใช้เวลา สั้นหรือยาวนั้นก็ยากที่จะรู้ เพราะฉะนั้นเราควรจะเลือกหุ้นที่เรามั่นใจในธุรกิจเพียงพอที่จะถือไปตราบที่ ราคามันยังต่ำกว่ามูลค่า การเลือกหุ้นโดยหวังว่าพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้าหรือเดือนหน้าจะขาย ก็ไม่ค่อยต่างอะไรกับการพนันมากนัก ....

โดย สรุปแล้วทั้งการหางานและการหาหุ้น .. ควรที่จะต้องคิดอย่างดี ทำการบ้านเยอะๆ เพราะเป็นสิ่งที่จะเราจะต้องอยู่กับมันเป็นเวลาอีกนาน ....

ปล. ทั้งนี้เรื่องหางานนี้ผมก็กำลังหาอยู่จริงๆจังนะครับ ไม่ได้สมมติขึ้นมาเพื่อเอามาผูกเข้ากับการหาหุ้น ดังนั้นถ้ามีพี่ๆเพื่อนๆคนไหนช่วยแนะนำผมได้ว่างานที่ไหนตรงกับความถนัดของ ผมก็ช่วยแนะนำผมบ้างนะครับ ... เอามาพูดกันอีกที ผมถนัดงานประเภทที่ต้องวิเคราะห์งบการเงิน การวิเคราะห์แนวโน้มบริษัท ชอบทำงานเป็นทีม บรรยากาศการทำงานไม่เครียดและเพื่อนร่วมงานไม่บ้างานมากเกินไป เงินเดือนไม่ใช่ประเด็นหลัก ไม่รู้ผมเลือกมากไปรึเปล่า .... เท่าที่ดูๆมา งานประเภท Credit ลูกค้ารายใหญ่ดูจะใกล้เคียงกับความต้องการของผมพอควร .. ไม่ทราบว่ามีงานประเภทอื่นๆอีกรึเปล่า

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘