Sun Rise-Sun Set

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้มีโอกาสไปพูดเกี่ยวกับเรื่องหุ้น ซึ่งทำให้ผมต้องศึกษาว่า หุ้นแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมีความน่าสนใจแค่ไหน หรือนักลงทุนให้มูลค่าแค่ไหน พูดง่ายๆ มองในแง่ของนักลงทุนแล้ว พวกเขาคิดว่า หุ้นกลุ่มไหนมีอนาคตเป็นกลุ่มหุ้น ที่กำลังเติบโตเป็นหุ้น Sun Rise และหุ้นกลุ่มไหน ดูท่าจะแย่เป็นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมตกดิน หรือ Sun Set Industry
วิธีดูว่า หุ้นกลุ่มไหนกำลังรุ่ง และกลุ่มไหนกำลังร่วง ผมใช้วิธีดูค่าความถูกความแพงของหุ้นแต่ละกลุ่ม โดยใช้ค่า PE เป็นหลัก และค่า PB เป็นตัวเสริม นั่นก็คือ ถ้าหุ้นกลุ่มนั้นมีค่า PE ของกลุ่มต่ำ ผมจะถือว่านักลงทุนโดยทั่วไปไม่สนใจ และไม่อยากลงทุนหุ้นกลุ่มนั้น จึงให้ราคาต่ำ เหตุผลก็คือพวกเขาเห็นว่า อนาคตการทำกำไรของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ไม่สดใส นั่นคือ กำไรไม่โต หรือกำไรอาจจะกำลังถดถอยลง
ตรงกันข้าม อุตสาหกรรมที่หุ้นมีค่า PE สูง ผมถือว่านักลงทุนสนใจ และมองว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่กำไรจะเติบโตดีในอนาคต นอกจาก PE แล้ว ผมยังดูค่า PB ประกอบด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าค่า PE ที่เห็นไม่มีอาการผิดเพี้ยน เนื่องจากกำไรที่ผิดปกติอันเป็นผลจากวัฏจักรของอุตสาหกรรม
จากข้อมูลการศึกษาแบบหยาบๆ โดยวิธีดังกล่าว ผมมีข้อสรุปว่า โดยทั่วไปกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตนั้น มีค่า PE ต่ำกว่าอุตสาหกรรมบริการอย่างเห็นได้ชัด แปลว่า นักลงทุนมองว่า หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตมีอนาคตที่ไม่สดใส เมื่อเทียบกับหุ้นของกิจการบริการ
กลุ่มผู้ผลิตที่ดูเหมือนว่า จะเป็น Sun Set Industry คือมีค่า PE ต่ำที่สุดคือมีค่า PE ประมาณ 6-7 เท่า ได้แก่ 1) กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม และเครื่องจักรซึ่งรวมถึงกลุ่มเหล็กทั้งหลาย 2) กลุ่มของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ซึ่งรวมถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ 3) กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 4) กลุ่มแฟชั่นซึ่งส่วนใหญ่ ก็คือ บริษัทสิ่งทอทั้งหลาย และสุดท้ายที่อาจจะมองว่าก้ำกึ่งว่าเป็น Sun Set หรือไม่เพราะถึงค่า PE จะต่ำแต่ค่า PB อยู่ในระดับที่สูงกว่าอีก 4 กลุ่มที่กล่าวอย่างชัดเจน ก็คือ 5) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
กลุ่มอุตสาหกรรมชุดต่อมา น่าจะเรียกว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่พอไปได้ คือมีค่า PE ประมาณ 8-12 เท่า กลุ่มนี้ได้แก่ 1) กลุ่มวัสดุก่อสร้างซึ่งตัวใหญ่ที่สุด ก็คือกลุ่มผู้ผลิตปูนซีเมนต์และเหล็กก่อสร้าง 2) กลุ่มยานยนต์ 3) กลุ่มธุรกิจการเกษตร และ 4) กลุ่มอาหาร ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ดูดีที่สุดในกลุ่ม แต่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับกลุ่มบริการได้ ในแง่ของศักยภาพในการเติบโตในสายตาของนักลงทุน
กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตกลุ่มใหญ่ที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความผันผวนและเป็นวัฏจักรสูงมาก ก็คือ 1) กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และ 2) กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค จากตัวเลขค่า PE และ PB ที่เห็น ผมรู้สึกว่า นักลงทุนจะดูว่ากลุ่มปิโตรเคมีนั้น อนาคตดูไม่สดใสโดยมีศักยภาพใกล้เคียงกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความผันผวน และเป็นวัฏจักรสูงเช่นเดียวกัน
ด้านกลุ่มพลังงานดูเหมือนว่า นักลงทุนมองธุรกิจยังพอไปได้ แม้ยังห่างชั้นธุรกิจบริการ ถ้าจะเปรียบเทียบจะมองว่ามีศักยภาพใกล้เคียงกับกลุ่มอาหาร ซึ่งก็เป็นธุรกิจที่ผลิตสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่น่าจะเติบโตไปพอๆ กับการเติบโตของเศรษฐกิจเหมือนกัน
กลุ่มอุตสาหกรรมบริการที่น่าจะเป็นดาวเด่น หรือ Sun Rise Industry ซึ่งมีค่า PE สูงลิ่วในระดับ 17-18 เท่าขึ้นไป เช่นเดียวกับค่า PB ที่ส่วนใหญ่มีค่า 2-3 ขึ้นไป ณ เวลานี้ก็คือ 1) กลุ่มการแพทย์ซึ่งก็คือพวกโรงพยาบาลทั้งหลาย 2) กลุ่มพาณิชย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Modern Trade หรือค้าปลีกสมัยใหม่ 3) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ซึ่งตัวใหญ่ก็คือ ทีวีและกิจการบันเทิงทั้งหลายที่นักลงทุนให้มูลค่าค่อนข้างจะสูงมาก
กลุ่มบริการที่นักลงทุนมองว่ามีศักยภาพไปได้เรื่อยๆ และน่าจะโตพอๆ หรือดีกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย ก็คือ กลุ่มที่ทำเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารซึ่งรวมไปถึงธุรกิจเกี่ยวกับเงินๆ ทอง กลุ่มนี้มี PE ในระดับประมาณ 12-14 เท่าและ PB ใกล้เคียงกับ PB ของตลาดหรือมากกว่าแต่ไม่เกินประมาณ 2 เท่า ได้แก่ 1) กลุ่มธนาคาร 2) กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารซึ่งตัวใหญ่ๆ ก็คือ กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์ และ 3) กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต
กลุ่มบริการที่น่าจะถูกมองว่า เป็นธุรกิจที่ไม่สดใส ไม่ว่าจะเป็นการมองระยะสั้นหรือกลาง บริษัทในกลุ่มกำลังเผชิญกับภัยคุกคาม จากปัจจัยบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ และทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุน และทำให้ค่า PE ของกลุ่มตกลงมาต่ำกว่าธุรกิจบริการกลุ่มอื่นๆ ก็คือ 1) กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งถูกกระทบโดยปัจจัยเรื่องน้ำมัน และวัฏจักรธุรกิจที่กำลังอยู่ในขาลง นี่ก็คือ กลุ่มการบินและขนส่งทางเรือ 2) กลุ่มหลักทรัพย์ที่ในที่สุดจะต้องเปิดเสรีการค้าหุ้น และคอมมิชชั่น โดยทั้งสองกลุ่มนั้นมีค่า PE เพียงประมาณ 10 เท่าเศษๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ค่า PB ต่ำกว่า 1 เท่า
กลุ่มบริการที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และที่ดิน นั่นก็คือ 1) กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ 2) กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการซึ่งส่วนใหญ่ ก็คือ โรงแรม จากการวิเคราะห์ดูพบว่าค่า PE ของทั้งสองกลุ่มนั้นค่อนข้างสูงพอ ๆ กันคือประมาณ 15-16 เท่า แต่ค่า PB ของกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่ากับประมาณ 1.6 เท่าในขณะที่ของกลุ่มโรงแรมเท่ากับ 1 เท่า เท่านั้น
ตีความจากข้อมูลนี้ ก็คือ นักลงทุนมองว่าธุรกิจโรงแรมนั้นน่าจะ "โตช้า น่าเบื่อ" จะขยายงานก็ต้องลงทุนสูง ขยายแล้วก็จะต้องรออีกหลายปีกว่าจะเห็นกำไร ในขณะที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น "โตเร็ว กำไรเห็นเร็วภายในปีสองปี"
สุดท้าย ก็คือ หุ้นในตลาดหุ้น MAI หรือหุ้นขนาดเล็ก นักลงทุนมองว่า นี่คือ กลุ่ม"หุ้นเล็ก โตวัย" เพราะค่า PE และ PB ที่ให้กับหุ้นในกลุ่มนี้ก็คือประมาณ 12 เท่าและ 1.7 เท่าตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ย ทั้งที่เป็นหุ้นขนาดเล็กที่ยังมีประวัติการดำเนินงานสั้น และน่าจะมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก
ทั้งหมด ก็คือ การวิเคราะห์ศักยภาพของหุ้นในกลุ่มต่างๆ ตาม "ความเห็นของคนส่วนใหญ่" ในตลาดหุ้น โดยปกติแล้ว ความเห็นนั้นก็มักจะถูกต้อง คนส่วนใหญ่บางครั้งก็ผิดได้เหมือนกัน นอกจากนั้น หุ้นบางตัวในกลุ่ม อาจจะมีศักยภาพไม่เหมือนกับหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่ม
ดังนั้น เราสามารถที่จะทำกำไรได้โดยการมองหาหุ้นที่เรามองไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่แล้ว เรามองถูก ซึ่งนี่ ก็คือ ฝีมือของ Value Investor ที่ใช้ในการทำกำไรจากตลาดหุ้น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘