Saturday, November 17, 2007 หุ้นหมัดน๊อก

หุ้นที่ผมชอบมากๆคือหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้สูงและมีโอกาสที่จะขาดทุนต่ำ ซึ่งผมตั้งชื่อว่าหุ้นหมัดน๊อก

ใน ช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา ผมพยายามนั่งคิดย้อนกลับไปว่าหุ้นที่ทำกำไรให้ผมมากๆ และขณะเดียวกันไม่ค่อยทำให้ผมขาดทุน ส่วนใหญ่มีลักษณะอย่างไร หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนนักลงทุนหลายๆคน ผมก็เลยพอจับลักษณะสำคัญของหุ้นที่ทำกำไรสูงได้ว่าต้องมีหมัดเด็ด 2 หมัดนี้เป็นสำคัญ

หมัด ที่ 1. เป็นหุ้นที่มี pe ต่ำ - pe ที่พูดถึงในที่นี้จะต้องมองไปในอนาคตนะครับ คือจะต้องคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตให้ได้แล้วประเมิน pe ออกมา ยิ่ง pe ต่ำเท่าไหร่ หมัดนี้ก็ยิ่งหนักเท่านั้น
หมัด ที่ 2. เป็นหุ้นที่มี Growth ของกำไรในอนาคตที่ค่อนข้างสูง - แนวโน้มของผลกำไรในอนาคตจะต้องสูงขึ้นติดๆกันหลายๆปี ไม่ใช่ปีหน้าโตสูง แต่ปีถัดไปอาจจะแย่แบบนี้ไม่เอา ผมว่า growth ที่พอจะเป็นหมัดน๊อกได้นี้ควรจะอย่างต่ำก็ซัก 25% ขึ้นๆไป

หุ้น ที่มีหมัดเด็ดครบทั้ง 2 หมัดนั้นค่อนข้างหายาก แต่ถ้าเจอแล้วจะสร้างกำไรให้เราได้มาก... ลองมาดูกันนะครับว่ามันมีมันสร้างกำไรให้เราได้อย่างไร

กรณีเข้าเป้าทุกหมัด (ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้) สมมติผมสามารถซื้อหุ้นที่มีราคา 6 บาท eps สิ้นปีนี้ประมาณ 1 คิดเป็น pe ประมาณ 6 เท่า และมี growth สูงในอนาคตหลายๆปี หุ้นตัวนี้มี pe เหมาะสมที่คนส่วนใหญ่ให้ประมาณ 8 เท่า (อาจจะดูได้จากค่า pe ที่บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ หรือถ้าไม่มีบทวิเคราะห์ก็ใช้การประมาณ pe ที่เหมาะสมอย่างที่เคยเขียนในบทความก่อนๆ ตรงนี้ไม่มีสูตรตายตัว)

- ถ้ากำไรของหุ้นสามารถเติบโตไปได้ประมาณ 25% ต่อปี โดยที่หุ้นยังคงซื้อขายกันที่ pe 6 เท่าอยู่ตลอด การซื้อหุ้นถือยาวๆก็จะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 25%
- แต่ถ้าหุ้นปรับขึ้นไปซื้อขายเป็น pe 8 เท่า ใน 1 ปีข้างหน้ากำไรจะเพิ่มเป็น 1.25 บาท ทำให้ซื้อขายกันที่ราคา 10 บาท ทำให้ได้ผลตอบแทนถึง 67% ใน 1 ปีเท่านั้น
- มากไปกว่านั้นซึ่งผมเรียกว่าเป็นกรณีพิเศษ (ซึ่งหลายๆครั้งก็มีโอกาสเกิดขึ้นอยู่บ้าง และทำกำไรให้ port ผมมากๆ) คือการที่ตลาดเริ่มเห็นหุ้นค่าของหุ้นตัวนี้ว่ามีการเติบโตค่อนข้างสูง ทำให้หุ้นเป็นที่นิยมมากขึ้นและค่า pe ที่เหมาะสมถูกปรับขึ้นมากกว่าเดิมจาก 8 เท่าไปเป็น 10 เท่า 12 เท่า หรือแม้แต่ 15 เท่า เมื่อบริหารโตไป 25% ราคาหุ้นที่ควรจะเป็น ณ pe 8 10 12 15 เป็นดังนี้ 10 12.5 15 18.75 บาท ตามลำดับ เทียบจากต้นทุนที่ซื้อมาที่ 6 บาท จะทำผลตอบแทนได้สูงถึง 67% 108% 150% 212.5% ตามลำดับเช่นกัน

หุ้น ประเภทนี้ถ้าให้ยกตัวอย่างในปีนี้จะเห็นได้ชัดๆ 3 ตัว คือ snc uec และ ums เพราะเมื่อช่วงต้นปี ผมก็ได้ยินคนพูดถึงหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้อยู่หลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เค้าก็จะซื้อหุ้นแล้วประเมินกันว่า pe เหมาะสมน่าจะประมาณ 8 เท่า growth ของหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้อยู่ในหลัก 25-30% ขึ้นไปทั้งนั้น และมีแนวโน้มจะโตในลักษณะนี้ไปหลายปี คนที่ซื้อช่วงนั้นส่วนใหญ่ก็ซื้อหุ้นกันประมาณ pe 6-7 เท่ากัน พอเวลาผ่านไปผลประกอบการเริ่มแสดงออกมาให้เห็นก็เห็นได้ชัดส่วนหุ้นทั้ง 3 ตัวมีแนวโน้มกำไรที่โตมากจริงๆ คนเริ่มเข้ามาสนใจมากขึ้น นักวิเคราะห์ก็เริ่มเข้ามาวิเคราะห์ ทำให้ pe ของหุ้นทั้ง 3 ตัวนั้นถูกมองไปถึงระดับ 12 เท่าเป็นอย่างต่ำ (ums ตัวเดียวที่ดูเหมือนว่าจะให้กันระดับสูงถึง 15 เท่า) snc วิ่งจากประมาณ 7 บาทไปเป็น 14 บาท uec จาก 12 บาทไปเป็น 40 บาท (ก่อนแตกพาร์) และ ums จาก 15 บาทไปถึงหลัก 100 บาท (ปรับพาร์ให้ตรงกัน)

ปีนี้ก็โชคดีที่ผมและเพื่อนหลายๆ ได้ซื้อหุ้นทั้ง 3 ตัวมากน้อยบ้างตามจังหวะทำให้ได้ผลตอบแทนกันสูงมาก

กรณีพลาดไป 1 หมัด เข้าเป้าหมัดเดียว
- เช่นหุ้นอาจจะโตน้อยกว่าที่คิดเช่นคาดไว้ว่าจะโต 25% กลับโตแค่ 10% แต่ถ้าเราซื้อมาใน pe ที่ต่ำนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่หุ้นจะปรับ pe เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ซึ่งการโต 10% ก็ให้ eps เป็น 1.1 แต่ราคาซื้อขายก็ไปได้ถึง 8.8 หรือ 11 บาท จากทุนที่ซื้อมา 6 บาทก็ยังสร้างผลตอบแทนได้มาก
- หรือหุ้นอาจจะโตไปตามคาด 25% แล้วหุ้นมี pe อยู่ที่ 6 หรือ 8 เท่า ผลตอบแทนก็ยังอยู่ในระดับที่ 25% และ 67% ซึ่งก็ไม่ได้น้อยเลย

เพราะ งั้นจะเห็นว่าถ้าเรามีหมัดเด็ดอยู่ 2 หมัด แม้บางหมัดอาจจะพลาดเป้าไปบ้างแต่ก็ยังพอที่จะอัดผลตอบแทนได้เพียงพอ ยิ่งถ้าเข้าเป้าทั้ง 2 หมัดได้เน้นๆแบบหุ้นทั้ง 3 ตัวข้างต้น ก็จะสร้างผลตอบแทนให้ port ได้ระดับ 100% ได้เลย (ปีนี้ผมเจอคนที่ผลตอบแทนระดับ 100% ขึ้นไปแทบจะนับไม่ถ้วนเพราะเจ้าหุ้น 3 ตัวนี้แหละ)

กรณีหุ้นที่มีหมัดเด็ดอยู่หมัดเดียว
- เช่นหุ้นที่มีคุณภาพดี มีแนวโน้มกำไรโตดี เช่น 20-25% แต่มี pe สูงถึง 15 หรือ 20 เท่า ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด การถือหุ้นก็จะให้ผลตอบแทนเท่ากับ growth การที่ pe จะปรับเพิ่มขึ้นคงยากเพราะมันสูงมากอยู่แล้ว นี่ยิ่งถ้าเกิดว่าเราคาดการณ์ผิด หมัด growth ที่ยิ่งออกไปไม่เข้าเป้า แทนที่จะ growth 25% บริษัทกลับโตเพียง 5% และมีการปรับ pe ลดลง (หุ้นที่ pe สูงมักจะมีการคาดหวังสูง ถ้ากำไรไม่ได้โตตามที่คาดการณ์ไว้ การปรับ pe ลดลงก็มีให้เห็นบ่อย) กรณีแบบนี้จะทำให้ขาดทุนเอาได้ง่ายๆ ในขณะที่ถ้าได้ผลตอบแทนก็คงไม่ได้สูงมากอะไร
- หุ้นที่ growth ไม่สูง แต่ pe ต่ำ แบบนี้ถ้าเป็นไปตามคาดคือกำไรอาจจะโตได้ซัก 10% แล้ว pe ปรับเพิ่มได้อีก ก็ได้ผลตอบแทนสุงกว่า 10% กรณีที่แย่หน่อยคือ pe ไม่ได้ปรับเพิ่มอย่างน้อยก็จะได้ผลอตอบแทนอย่างต่ำประมาณ 10%

จะ เห็นว่าการถือหุ้นที่มีหมัดเด็ดเพียงหมัดเดียวนั้น นอกจากจะให้ผลตอบแทนไม่สูงแล้ว จะมีโอกาสที่จะทำให้เราขาดทุนได้มากด้วยเช่นกัน แต่การจะหาหุ้นที่มีหมัดเด็ดครบ 2 หมัดนั้น โอกาสเจอก็ค่อนข้างยากพอสมควร ใน 1 ปีเจอซักตัวก็ดีใจแล้ว

เพราะ ฉะนั้น ถ้าเราเจอหุ้นที่ครบเครื่องทั้ง 2 หมัด เราควรจะซื้อในสัดส่วนที่สูงของ port (แต่ก็ไม่ควรเกิน 50% เพราะของแบบนี้อะไรก็ไม่แน่นอน มันอาจจะพลาดก็เป็นได้) แต่ถ้ายังหาไม่เจอจริงๆ การถือหุ้นหมัดเดียวก็ยังพอยอมรับได้ แต่ต้องมั่นใจจริงๆว่าหมัดนั้นจะเข้าเป้า อย่างปัจจุบันผมยังถือหุ้นตัวนึงอยู่ซึ่งตอนนี้เอง pe ก็อยู่ในระดับสูงถึง 12 เท่าแล้ว การที่ pe จะปรับขึ้นอีกคงเป็นไปได้ยาก แต่ผมยังค่อนข้างมั่นใจว่าผลกำไรในอนาคตยังมี growth อยู่ในระดับที่สูงอยู่ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยๆ คงเข้าเป้าซักหมัดแน่ๆ

ปล. ถ้าคนเคยอ่านหนังสือของ Peter Lynch อาจจะจำอัตราส่วน PEG ได้ .... คือเอา p/e หารด้วย growth ซะ .. ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี .. จริงๆก็มีพื้นฐานแนวคิดคล้ายๆกันครับ ผมเอามาอธิบายในภาษาแบบของผมเอง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘