Saturday, May 19, 2007 การเมืองกับหุ้น

ในภาวะที่ปัญหาการเมืองคลุมเครือแบบนี้ นักลงทุนหลายๆคนก็คงเซ็งไปตามๆกัน ข่าวดีก็ไม่มีให้เห็น แถมยังมีข่าวร้ายใหม่ๆเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ บางคนอาจจะเว้นวรรคจากตลาดหุ้นไปชั่วคราว ประมาณว่ารอให้ปัญหามันคลี่คลายซะก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่ก็ยังไม่สาย ซึ่งผมว่าก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน ถ้าเราไม่มั่นใจในตลาดหุ้น การถือเงินสดไว้ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่สำหรับ VI แล้วผมว่าการออกจากตลาดหุ้นใหม่ภาวะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเท่าไหร่นัก .... เพราะนักลงทุนเองจะเสียโอกาสในการลงทุนอีกมาก เนื่องจาก 1. เราก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ปัญหามันจะคลี่คลาย 2. ในช่วงแบบนี้หุ้นดีๆราคาถูกมีให้เห็นมากมาย 3. ดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มลดลง ถอนเงินออกไปฝากไว้เฉยๆก็ได้ผลตอบแทนน้อยเหลือเกิน

แต่ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่จะบอกว่าการเมืองมันไม่กระทบอะไรกับมูลค่าหุ้นนะครับ แนวคิดหลักที่อยากจะเขียนในวันนี้คือ เราไม่ต้องไปเอาปัญหาการเมืองมาโยงกับราคาหุ้นมากนัก ว่ามันจะขึ้นหรือลง แต่เราควรนำปัญหาการเมืองมาคิดดูว่ามันมีผลกระทบอย่างไรก็ธุรกิจของหุ้นที่ เราถืออยู่ ถ้ามันไม่มีปัญหาก็ถือต่อไป แต่ถ้ามันมีปัญหาก็อาจจะขายหุ้นออกไปบ้าง หรือว่าธุรกิจไหนที่ไม่โดยการเมืองกระทบ แต่ราคาไหลลงไปตามตลาดก็เป็นโอกาสที่ดีที่อาจจะได้ซื้อหุ้นราคาถูก

ลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ ว่าการเมืองนั้นกระทบอย่างไรกับธุรกิจในตลาดหุ้น
- IT city Q1/50 กำไร 29.6 ล้านลงจาก Q1/49 ที่กำไร 36.9 ล้าน ... การเมืองทำให้คนเริ่มชะลอการใช้จ่ายมากขึ้น สินค้า IT ผมว่าเป็นจัดได้ว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยได้ระดับหนึ่ง เพราะบางทีเราจะซื้อ Notebook ตัวใหม่ซักตัวอาจจะเพราะเห็นรุ่นใหม่ที่อยากได้ แล้วเครื่องเก่ามันก็เริ่มเก่าแล้ว แต่พอเจอปัญหาแบบนี้คนก็ชะลอออกไปได้ ยอดขายกำไรก็เลยลดลงอย่างที่เห็น แบบนี้ผมว่าการเมืองกระทบธุรกิจมาก
- โดยปกติเมื่อประชาชนหยุดการจับจ่ายใช้สอย รัฐมักจะแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มหรือเร่งการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจ มันแย่จนเกินไป แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ดูเหมือนกับว่าหน้าที่หลักของเค้าไม่ใช่การพัฒนา เศรษฐกิจซักเท่าไหร่ แต่งานหลักคือการกำจัดทุกอย่างที่เป็นของรัฐบาลที่แล้ว (หลายๆครั้งก็กำจัดโครงการดีๆทิ้งไปมากเหมือนกัน เห็นแล้วก็เสียดายแทน) พอหน้าที่หลักคือการจับผิดการฉ้อโกง สิ่งที่ตามมาก็คือการลงทุนของภาครัฐแทนที่จะเร่งลงทุนเพื่อมาช่วย กลับกลายเป็นว่าหน่วยงานต่างๆก็พากันหยุดลงทุนกันเป็นแถวๆ กลัวว่าลงทุนไปจะโดนเฉ่งเอา เพราะตอนนี้ใครทำอะไรใหญ่ๆใหม่ๆ ก็โดยจับตากันหมด ... หุ้นที่กระทบได้ชัดเจนก็เห็นจะเป็นหุ้นที่มีรายได้หลักจากการประมูลงานภาค รัฐ ในช่วงครึ่งปีแรกปัญหาอาจจะไม่เห็นจากงบการเงินได้ เพราะงานส่วนใหญ่ยังเป็นการที่ค้างมาตั้งแต่ปีก่อน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะไม่รู้จะเอาโครงการที่ไหนมาสร้างรายได้ เพราะฉะนั้นผมจะพยายามหลีกเลี่ยงหุ้นประเภทนี้ อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้น่าจะสร้างผลงานได้ดีมากหลังจากที่การ เมืองคลี่คลายแล้ว เพราะการลงทุนมันเป็นเรื่องจำเป็น ปีนี้อั้นมานาน ถ้าการเมืองดีขึ้นเมืองไรการลงทุนคงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
-หุ้นที่มีรายได้ หลักจากการส่งออกผมว่าไม่น่าจะโดนผลกระทบจากการเมืองเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรก็ตามต้องระวังเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นด้วยเพราะรายได้มัน อาจจะลดได้เหมือนกัน .. สรุปแล้วผมว่าถ้าจะเล่นหุ้นที่ส่งออกให้ปลอดภัยทั้งการเมืองและค่าเงินน่าจะ เป็นหุ้นที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตเป็นจำนวนมาก ที่เห็นชัดเลยก็คือพวกกลุ่มอิเล็กทรอนิก ผลประกอบการ Q1 ออกมาหรูหรากันเหลือเกิน เสียดายที่ผมไม่มีหุ้นกลุ่มนี้เลยซักกะตัว
- หุ้นที่ได้ผลประโยชน์จากการลงทุนที่ชะลอไม่ได้ ที่ชัดสุดก็เป็นเรื่องของการลงทุนของพวกไฟฟ้าและปิโตรเคมี การเมืองจะแย่ยังไงไฟฟ้าก็ยังใช้เยอะอยู่ดี ถ้าผลิตไม่ทันใช้จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะงั้นพวกนี้ชะลอไม่ได้ หรือปิโตรเคมีเองเวลาเค้าลงทุนกันทีเป็นหลักแสนล้าน วางแผนกันมาทีหลายปี คงไม่หยุดกันง่ายๆแน่
- หุ้นที่ช่วยลดต้นทุนให้ลูกค้าได้ ... ภาวะแบบนี้ต้องรัดเข็มขัดเป็นพิเศษ พวกไหนที่ลดต้นทุนให้ลูกค้าได้ก็น่าจะได้ประโยชน์

คง จะเห็นภาพชัดขึ้นนะครับ ว่าแม้ในภาวะที่การเมืองแย่ๆ หุ้นที่ธุรกิจดีๆ ไม่โดนกระทบหรือบางทีอาจจะได้ประโยชน์เสียด้วยซ้ำ ก็ยังคงมีให้ลงทุนได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นปัญหาการเมืองสำหรับ VI คงไม่ใช่อุปสรรคในการลงทุนซักเท่าไหร่

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘