PSR
ตัวเลขที่บ่งบอกถึงความ "ถูก-แพง" ของราคาหุ้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะบอกว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นคุณค่าหรือไม่นั้น ที่สำคัญมีประมาณ 4 ตัวด้วยกัน ตัวแรกและโดดเด่นที่สุด แน่นอนก็คือ PER หรือค่า PE หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้นที่เราพูดถึงกันตลอด นี่คือตัวที่ตรงและเข้าใจง่ายที่สุด มันบอกว่าราคาเป็นเท่าไร ต่ำหรือสูง เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ ตัวต่อมาก็คือ ค่า PB หรือราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี ตัวนี้บอกว่าราคาเป็นเท่าไร ต่ำหรือสูง เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์สุทธิของบริษัท นี่เป็นแนวที่มองถึงทรัพย์สินมากกว่าการทำกำไร ตัวที่สามก็คือ Dividend Yield หรือค่าปันผลต่อราคาหุ้น ซึ่งมองว่า ถ้าปันผลสูงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นก็แปลว่าหุ้นถูก และตัวสุดท้ายก็คือ PSR หรือ PRICE PER SALE RATIO หรือราคาหุ้นต่อยอดขายต่อหุ้นของบริษัท นี่เป็นอัตราส่วนที่ Value Investor ในตลาดหุ้นไทยยังไม่ค่อยใช้กัน บางคนก็ยังไม่รู้ว่านี่เป็นตัวเลขที่สำคัญ ว่าที่จริง อาจจะสำคัญกว่าค่า PE ด้วยซ้ำ
จากการศึกษาในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งมีการทำกันมากมาย ต่างกรรมต่างวาระ ทั้งในหุ้นตัวใหญ่และตัวเล็ก สิ่งที่พอจะพูดได้หยาบๆ ในความเห็นของผมก็คือ ตัวเลขที่บ่งบอกถึงความเป็น "Value" หรือหุ้นที่มีคุณค่าและทำให้คนที่ลงทุนได้กำไรสูงที่สุดนั้น ตัวที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดก็คือ Dividend Yield หรือผลตอบแทนจากปันผล ตัวเลขตัวนี้ ถ้าเราจะใช้ในการเลือกลงทุนที่จะได้ผลดี ก็คือ การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูงเป็นหลัก การซื้อหุ้นทั่วๆ ไปโดยอาศัยจากการดูปันผลจ่ายนั้น ไม่ใคร่จะได้ผล ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าบริษัทแต่ละแห่งมีนโยบายต่างกันในเรื่องการจ่ายปันผล
ตัวเลขที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันก็คือ ค่า PE กับค่า PB โดยที่ค่า PB อาจจะได้เปรียบกว่าเล็กน้อยในหุ้นบางกลุ่ม และนี่ก็เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานของ Value Investor ที่นักวิชาการนำมาใช้ในการทดสอบดูว่า เป็นหุ้นที่สามารถเอาชนะตลาดได้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม Value Investor ในภาคปฏิบัติส่วนใหญ่ก็มักจะอิงกับค่า PE ในการเลือกลงทุนในหุ้นมากกว่าค่า PB มาก เหตุผลก็คงเป็นว่า การใช้ค่า PB นั้น นักลงทุนอาจจะต้อง "รอ" ว่าเมื่อไรจะมีคนมาเห็นทรัพย์สมบัติที่อาจจะไม่สร้างรายได้ของบริษัท และมาซื้อหุ้นทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้ ในขณะที่การใช้ค่า PE นั้น ทุกๆ ไตรมาสที่มีการประกาศงบกำไรขาดทุน ราคาหุ้นมีโอกาสวิ่งขึ้นไปได้ง่ายๆ
ตัวเลขที่ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ในการที่จะทำกำไรจากการลงทุน ก็คือ ค่า PSR นี่คือตัวเลขที่ไม่มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน แต่การที่จะหาค่า PSR ก็ทำได้ไม่ยาก วิธีก็คือ เปิดดูยอดขายรวมของบริษัทในงบการเงินปีที่ผ่านมา หารตัวเลขยอดขายด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทก็จะได้ยอดขายต่อหุ้น เอาตัวเลขนี้ไปหารราคาหุ้นในปัจจุบันก็จะได้ค่า PSR จากการศึกษาข้อมูลในระยะเวลาประมาณ 50 ปี ในตลาดหุ้นสหรัฐ ปรากฏว่า การลงทุนในหุ้นที่มีค่า PSR ต่ำที่สุดนั้น โดยเฉลี่ยแล้ว ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้น PE หรือ PB ต่ำที่สุด
ปัญหาของ PSR ก็คือ มันเป็นตัวเลขที่เข้าใจยากและการหาข้อมูลก็ยุ่งยากกว่า รวมทั้งมันยังไม่มีตัวเลขตัวเดียวที่จะบอกได้อย่างคร่าวๆ ว่ามันถูกหรือแพงที่ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรมเหมือนกับตัวเลข PE หรือ PB ในเรื่องของ PE เราอาจจะเปรียบเทียบกับ PE ของตลาดได้ หรือบางคนอาจจะตั้งไว้เลยว่า ค่า PE ที่เกิน 10 เท่า แปลว่าหุ้นแพง หรือค่า PB ที่เกิน 2 เท่า เป็นหุ้นแพง แต่ในเรื่องของ PSR นั้น อุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต อาจจะมียอดขายมาก แต่มีมาร์จิน หรือกำไรต่อยอดขายต่ำ ดังนั้น ค่า PSR อาจจะต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ให้เช่าสำนักงาน หรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้ต่ำแต่มีมาร์จินสูง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นซูเปอร์มาร์เก็ตดีกว่าหุ้นให้เช่าสำนักงาน
ข้อดีของ PSR ที่เหนือกว่าค่า PE ก็คือ มันเป็นตัวเลขที่มีความอ่อนไหวน้อย เนื่องจากยอดขาย มักจะมีความมั่นคงและสม่ำเสมอกว่ากำไรมาก ดังนั้น ค่า PSR มักจะเปลี่ยนแปลงช้าถ้าราคาหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ในขณะที่ถ้าเราใช้ค่า PE พอปีต่อไป ตัวเลขกำไรของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ค่า PE เปลี่ยนแปลงไปได้มากจนอาจจะไม่เหลือสภาพของหุ้น PE ต่ำ ทั้งที่ราคาหุ้นไม่เพิ่มขึ้นเลย
บางคนอาจจะบอกว่าค่า PSR นั้น ไม่ได้สะท้อนพื้นฐานที่สำคัญ นั่นคือ กำไรของบริษัท เขาอาจจะบอกว่ายอดขายนั้นไม่มีประโยชน์ถ้าขายมากแต่ไม่มีกำไร ดังนั้น ค่า PSR ไม่น่าจะเป็นตัวที่ดูคุณค่าของบริษัทได้ ข้อนี้ผมกลับคิดว่า ค่า PSR อาจจะดีกว่าค่า PE ในแง่ที่ว่า มันน่าจะสะท้อนกำไรของบริษัทในระยะยาวได้ดีกว่า เหตุผลก็คือ กำไรที่จะยั่งยืนนั้นจะต้องมาจากยอดขาย ในหลายๆ บริษัทนั้น เขาถึงกับยอมกำไรน้อยหรือขาดทุนเพื่อเพิ่มยอดขาย เพื่อยึดส่วนแบ่งทางการตลาด เพื่อที่ว่าในอนาคตเขาจะได้เปรียบคู่แข่งและทำกำไรมากขึ้นในภายหลัง ส่วนบริษัทที่กำไรดีในวันนี้แต่ยอดขายต่ำ เขาอาจจะประสบกับอุปสรรคหรือสภาวะทางการตลาดเปลี่ยนแปลง ทำให้กำไรในปีต่อๆ ไปตกต่ำลง
ข้อดีข้อเสียของ PSR เทียบกับ PE หรือ PB ยังมีอีกหลายข้อ การถกเถียงคงไม่จบลงง่ายและคงไม่มีใครถูกหรือใครผิด ประเด็นก็คือ เรารู้ว่าจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละตัวอยู่ที่ไหนและใช้มันประกอบกัน ส่วนตัวผมเองนั้น ทุกครั้งที่พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน แน่นอน PE เป็นตัวเลขที่สำคัญมาก แต่ PSR ก็สำคัญพอๆ กัน แต่ผมจะใช้เป็นตัว "ตรวจสอบ" นั่นก็คือ เมื่อดูแล้วว่าหุ้นน่าสนใจ ดูจากค่า PE ก่อนจะตัดสินใจสุดท้าย ผมจะดูว่าค่า PSR เป็นเท่าไร ถ้าค่า PSR สูง เช่นเกิน 1 เท่า ผมก็จะต้องระวังหรือถ้า PSR สูงถึง 2 เท่า ผมอาจจะต้องถอยถ้ากิจการไม่โดดเด่นจริงๆ เป็นต้น และก็เช่นเดียวกัน การใช้ตัวเลข "คุณค่า" เหล่านี้ เป็นเรื่องของศิลปะอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ความคิดและวิธีการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้ชนะก็คือคนที่สามารถใช้มันได้ดีกว่า