คำถาม เกี่ยวกับ PEG และ P/BV
ผมดึงนำคำถามที่น่าสนใจจากเพื่อนๆ ที่ e-mail ถามผมมานะครับ โดยเลือกคำถามที่เป็นคำถามที่เป็นความรู้เรื่องลงทุนเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ กับเพื่อนๆ ใน web นะครับ ส่วน mail ที่เพื่อนๆ ถามมานั้นผมยังตอบไม่หมดและจะทยอยๆ ตอบอยู่นะครับ ส่วน mail ไหนที่ผมไม่ได้ตอบใน 20 วันช่วยรบกวนส่งมาซ้ำหน่อยนะครับเพราะบางทีสำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ mail มาก่อน mail อาจจะไปอยู่ในส่วนของ junk mail ซึ่งหากผมเปิดดูไม่ทันจะถูกลบไป ยังไงหากส่ง mail อยากให้ save คำถามเก็บไว้เผื่อว่าถ้าต้องส่งใหม่จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่นะครับ ขอบคุณมากครับ
คำถาม : เกี่ยวกับ P/E growth ratio
การนำ growth ไปหาร p/e ได้ครับเค้าเรียก p/e to growth ratio หรือ PEG เช่น หาก p/e 10 แต่ growth 20% ก็ได้ peg 10/20 = 0.5 เท่า หลักการดังกล่าวมาจากหลักที่ว่าหุ้นควรจะมี p/e ที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโต หุ้นที่ peg ต่ำในทางทฤษฎีก็ถือว่าไม่แพง ถ้าสูงก็คือแพงเพราะ p/e จะสูงกว่าการเติบโตของกำไร ก็อาจจะมีสูตรสำเร็จว่าหากค่า peg เกิน 1 คือแพง หากต่ำกว่า 1 คือ ถูก
แต่การใช้ peg ก็เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้นเพราะว่าก็มีข้อจำกัด เช่น หุ้นบางตัวกำไรปี ขาดทุนปี หรือกำไรขึ้นๆ ลงๆ หากใช้ growth ปีทีดีเทียบกับปีไม่ดี ก็จะเข้าใจผิดว่า growth สูงได้ ดังนั้น growth ในความหมายของผมจะหมายถึง growth เฉลี่ยต่อปีในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้นการจะหาได้ว่า growth ที่ว่านี้จะได้ประมาณเท่าไหร่ต่อปีได้นั้นก็หมายความว่าเราต้องมองไปในอนาคต ไม่ใช่มอง growth ในอดีต ซึ่งเราจะต้องมีความเข้าใจในธุรกิจของหุ้นตัวนั้นๆ เป็นอย่างดีเพื่อที่จะได้ทำนายแนวโน้มได้ครับ
แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่ p/bv สูงหลายตัวก็อาจจะแพงเกินไปจริงๆ ครับ ดังนั้นหากประเมินแล้วหุ้นนั้นๆ ไม่ได้มี brand name ความจงรักภักดีของลูกค้า ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน culture ที่ดีขององค์กร ที่สมเหตุสมผลกับการมี bv สูง ก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นเหล่านั้นครับ เพราะหุ้นบางตัวอาจจะมีปีที่ดีมากและปีที่แย่ ช่วงปีที่ดีมากจะมี roe สูงซึ่งจะทำให้ p/bv สูงครับ
คำถาม : เกี่ยวกับ P/E growth ratio
การนำ growth ไปหาร p/e ได้ครับเค้าเรียก p/e to growth ratio หรือ PEG เช่น หาก p/e 10 แต่ growth 20% ก็ได้ peg 10/20 = 0.5 เท่า หลักการดังกล่าวมาจากหลักที่ว่าหุ้นควรจะมี p/e ที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโต หุ้นที่ peg ต่ำในทางทฤษฎีก็ถือว่าไม่แพง ถ้าสูงก็คือแพงเพราะ p/e จะสูงกว่าการเติบโตของกำไร ก็อาจจะมีสูตรสำเร็จว่าหากค่า peg เกิน 1 คือแพง หากต่ำกว่า 1 คือ ถูก
แต่การใช้ peg ก็เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้นเพราะว่าก็มีข้อจำกัด เช่น หุ้นบางตัวกำไรปี ขาดทุนปี หรือกำไรขึ้นๆ ลงๆ หากใช้ growth ปีทีดีเทียบกับปีไม่ดี ก็จะเข้าใจผิดว่า growth สูงได้ ดังนั้น growth ในความหมายของผมจะหมายถึง growth เฉลี่ยต่อปีในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้นการจะหาได้ว่า growth ที่ว่านี้จะได้ประมาณเท่าไหร่ต่อปีได้นั้นก็หมายความว่าเราต้องมองไปในอนาคต ไม่ใช่มอง growth ในอดีต ซึ่งเราจะต้องมีความเข้าใจในธุรกิจของหุ้นตัวนั้นๆ เป็นอย่างดีเพื่อที่จะได้ทำนายแนวโน้มได้ครับ
การเลือกหุ้นที่มี PB สูงอันตรายไหมbook value จะสะท้อนแค่สินทรัพย์ที่มีตัวตน คือ เงินสด ลูกหนี้ อาคาร เครื่องจักร ฯลฯ แต่ไม่สะท้อนสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน เช่น brand name ความจงรักภักดีของลูกค้า ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน culture ที่ดีขององค์กร ดังนั้นหากดู p/bv มากไปจะพลาดได้ คือ พลาดไปซื้อหุ้น p/bv ต่ำที่ไม่มีศักยภาพ หรือขายหุ้นที่ดีเพราะคิดว่า p/bv สูงไป
แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่ p/bv สูงหลายตัวก็อาจจะแพงเกินไปจริงๆ ครับ ดังนั้นหากประเมินแล้วหุ้นนั้นๆ ไม่ได้มี brand name ความจงรักภักดีของลูกค้า ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน culture ที่ดีขององค์กร ที่สมเหตุสมผลกับการมี bv สูง ก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นเหล่านั้นครับ เพราะหุ้นบางตัวอาจจะมีปีที่ดีมากและปีที่แย่ ช่วงปีที่ดีมากจะมี roe สูงซึ่งจะทำให้ p/bv สูงครับ
brand name : อาจประเมิณได้จากความนิยม ชมชอบสินค้า ในตลาด หรือที่เรียกว่าติดตลาดได้หรือเปล่าคะbrand name ก็คือสิ่งที่ทำให้สินค้าของบริษัทนั้นๆ แตกต่างจากสินค้าคู่แข่ง โดยแต่ละ brand อาจจะมีจุดเด่นในใจลูกค้าที่ต่างกันได้ เช่น brand Toyota จะมีชื่อเสียงด้านความคุ้มค่า ทนทาน ซ่อมง่าย ไม่จุกจิก ส่วน Benz จะมีชื่อเสียงด้านคุณภาพ สมรรถนะ ความมีระดับ หรือบ้าน LH มีชื่อเสียงด้านคุณภาพ และความน่าเชื่อถือ ดังนั้นการมี brand name ที่แข็งแรงจะทำให้ลูกค้านึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อคิดจะซื้อสินค้าประเภท นั้นๆ
ความจงรักภักดีของลูกค้า : การทีมีลูกหนี้ แล้วหนี้ไม่สูญอันนี้จะไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ครับ จะเกี่ยวกับว่าหากลูกค้ามีความจงรักภักดีสูงก็จะมีแนวโน้มซื้อสินค้านั้นใน ครั้งต่อๆ ไปซึ่งมีความจำเป็นมากสำหรับหุ้นเพราะเราคงชอบหุ้นที่ไม่ต้องทำการตลาดเพิ่ม ขึ้นมากนักแต่ลูกค้าก็อยูกับเราไปตลอด อันนี้เราลองนึกดูเล่นๆ ก็ได้ครับว่าตอนนี้สินค้าหรือบริการอะไรที่เมื่อเราใช้หมดแล้ว หรือจะมีการใช้ครั้งต่อไปแล้วเราซื้อสินค้าและบริการเดิมโดยไม่ต้องคิดอะไร ประเภทนี้ครับที่ลูกค้ามีความจงรักภักดี
ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน: จะประเมิณได้อย่างไรคะ และต้องเป็นคนวงในของบริษัท หรือเปล่า ถ้าเป็นคนวงนอกและเป็นรายย่อยจะรู้ข้อมูลได้อย่างไรปกติผมจะพยายามหาเพื่อนหรือคนรู้จักที่อยู่ในแวดวงธุรกิจหรืออยู่ใน บริษัทที่ผมถือหุ้น แต่ถ้าหาไม่ได้ก็มีวิธีคือ ลองไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทดู เช่น ประชุมผู้ถือหุ้น หากไม่มีเวลาพอ อาจจะต้องหาข่าวย้อนหลังของบริษัทนั้นๆ ซัก 5-10 ปีเพื่อดูว่าผู้บริหารเคยมีข่าวอะไรไม่ดีรึเปล่า นอกจากนี้ คงจะต้องดูผลการดำเนินงานย้อนหลังซัก 5-10 ปีเช่นกันว่าบริษัทมีความต่อเนื่องของกำไรหรือเงินปันผลแค่ไหน และเคยมีรายการซื้อ-ขาย สินค้าหรือสินทรัพย์ หรือรายการระหว่างกันที่แปลกๆ บ้างหรือเปล่า
culture ที่ดีขององค์กร ประเมิณได้อย่างไรคะอันนี้คงจะต้องหากข้อมูลในแวดวงพอสมควรครับ องค์กรที่มี culture ที่ดี พนักงานจะมีอัตราการลาออกค่อนข้างต่ำ ผู้บริหารและพนักงานจะมีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน หากไม่มีข้อมูลแวดวง ผมตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นธุรกิจที่เรามีโอกาสได้ใช้บริการ มันจะออกมาในรูปแบบของคุณภาพการให้บริการ และความสุขในการทำงานของพนักงานครับ
ในความเป็น brandname ของสินค้าและบริการของบริษัทสามารถเป็นบริษัทที่เป็นผู้ชนะในตลาดได้ใช่ไหมคะก็นับว่ามีโอกาสสูงครับ แต่ก็คงต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ความสามารถของผู้บริหาร แต่โดยทั่วไป บริษัทที่สามารถสร้าง brand สินค้าและบริการให้โดดเด่น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แย่เกินไปนัก เช่น เปลี่ยนผู้บริหารจากเก่งเป็นไม่เก่งเลย แนวโน้มที่จะเป็นผู้ชนะก็มีสูงครับ