ลงทุนในธุรกิจไอที

ที่จริงก่อนหน้านี้ก็สนใจไอทีซิตี้มาโดยตลอด เพราะเค้ามีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ เคยซื้อแล้วก็ขายออกไป เมื่อหลายปีก่อน เพราะตอนนั้น พีอีเกินยี่สิบเท่า ก็เพราะมองสั้นๆเลยขายไปแถวๆสิบบาท แต่กลับกลายเป็นว่า ราคามันลงมาให้ซื้ออีกที่ต่ำๆ ตอนนี้ ราคา5บาทนิดๆ ก็ค่อนข้างจะไม่แพง
เมื่อมองจากมุมมองระยะยาวแล้ว ไอทีซิตี้มีความน่าสนใจ เพราะเค้ามีผลการดำเนินงานที่ดี มีกำไรสม่ำเสมอ แล้วก็สูงมากด้วย ในช่วงภาวะปกติ it city จะมี roe สูงราวๆ 18% สองสามปีมานี้ เค้าประสบกับภาวะที่ค่อนข้างแย่ มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง โรคระบาด ซึ่งผลัดกันโจมตีประเทศไทยมาตลอดสองสามปีแล้ว แต่เมื่อกลับมาดู roe ของบริษัทก็ลดลงเพียงเล็กน้อย อยู่ที่ระดับต่ำสุดเพียง 14% กว่าๆ ซึ่งสำหรับบริษัทส่วนใหญ่แล้ว ตัวเลขนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อกลับมาดูผลกำไร ก็พบว่า ไตรมาสสี่ปีก่อนจนถึงไตรมาสหนึ่งปีนี้ กำไรก็ลดลงมาก ทั้งๆที่ยอดขายลดลงไม่มาก แต่ในไตรมาสสองนี้กำไรก็เริ่มหดตัวช้าลงมาก และคาดว่ากำไรจะกลับมาดีได้ใน ไตรมาสสามหรือสี่ปีนี้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าภาวะถดถอยคราวนี้ ทำไมถึงกระทบไอทีซิตี้ ทั้งๆที่ ราคาคอมพิวเตอร์ก็ถูกมาก เครื่องนึงหมื่นกว่าบาทเอง แต่เมื่อไปดูกำไรของบิ๊กซี ก็เห็นว่าอืดๆเหมือนกัน ทั้งๆที่ขยายไปสิบกว่าสาขาในปีก่อน เลยคิดเอาเองว่า ภาวะแบบนี้ คนเค้าจะรัดเข็มขัด สิ่งที่เค้าจะลดก่อนคือ ของฟุ่มเฟือย ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็ถูกมองแบบนั้น ซึ่งบิ๊กซีเองก็บอกว่ายอดขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ตกหมด นี่คงเป็นคำอธิบายที่พอจะคิดได้ในตอนนี้ ในขณะที่บ้านยังขายได้ คอนโดยังขายได้ เพราะพวกนี้มันเป็นความใฝ่ฝันของคน ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ถ้าแบงค์ยังคงให้กู้ บ้านก็จะยังคงขายได้
ทีนี้ กลับมาดูไอทีซิตี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการขยายสาขาต่อเนื่อง ตอนนี้ ภาวะไม่ดี กำไรก็อาจจะยังไม่ดี แต่เมื่อภาวะต่างๆกลับมาดี ยอดขายและกำไรก็น่าจะดีขึ้นได้ คิดซะว่าเราต้องถือไอทีซิตี้ไป 10 ปี ตอนนั้นคงมีสาขาเพิ่มขึ้น2-3 เท่าตัว ถ้าภาวะยังแย่อยู่ กำไรก็คงโตเท่ายอดขาย แต่ถ้าภาวะกลับมาเป็นปกติ หรือ เกิดบูมขึ้นมาก กำไรก็ต้องโตมากกว่า 2-3 เท่าตัว การลงทุนก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากพอสมควร ถ้าถามว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในเมืองไทย ผมก็คิดว่ายังน้อยอยู่ ต่ากับโทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์ มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนเป็นหมื่น แต่คอมราคาเป็นหมื่นขึ้นไป แล้วโทรศัพท์มือถือนี่ แม่เราก็ใช้เป็น แต่คอมต้องมาเรียนรู้ ถึงจะใช้เป็น แต่ในปัจจุบันก็เริ่มใช้ง่ายขึ้นมาก เด็กรุ่นถัดไป ทุกคนต้องเล่นเป็นหมดอยู่แล้ว เป็นตลาดหลักที่เพิ่มขึ้นแน่นอน ตามหลักประชากรศาสตร์ คนที่ใช้อยู่แล้ว เช่นนักศึกษาในปัจจุบัน ก็ต้องซื้อต่อเนื่อง ส่วนตลาดใหม่ๆ น่าจะเป็นคนแก่ เพราะไปเห็นมาจากในหนังว่า คนแก่แล้วอยากเล่นคอมเป็นเพื่อจะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงา เล่นเอ็มเอสเอ็น คุยกับเพื่อนๆ เป็นการลดความเครียดได้
ดูราคาหุ้นในตอนนี้ 5.5 บาท คิดเป็นเงินปันผล 9.09% ถ้าในอนาคต การค้าขายของไอทีกลับมาดี ตลาดก็น่าจะยอมจ่ายแพงกว่านี้ เช่นยอมจ่ายที่ยีลด์ 4-5% ปีที่แล้วปันผล 50ตังค์ อีกสิบปี ถ้าการค้าไม่แย่นัก กำไรและปันผลเพิ่มขึ้นเป็นสัก 4 เท่า ก็คิดเป็น 2 บาท ต่อหุ้น ถ้าคิดราคาหุ้นจาก yield 5% ราคาหุ้นน่าจะอยู่ที่ 40 บาท เทียบกับราคาตลาด 5.5 บาท คิดเป็น 7.27 เท่า ระหว่างนี้ก็รับปันผล 12.5 บาท เมื่อรวมปันผลแล้ว มันจะมีมูลค่า 52.5 บาท คิดเป็น 9.5เท่า ไม่เลวเลย ระหว่างนี้ สิ่งที่เราควรทำคือ อย่าเข้าไปยุ่งกับมัน แค่เอามือใส่ใว้ในกระเป๋ากางเกงไว้ก็พอ แล้วเวลา จะช่วยให้การลงทุนของเราเติบโตขึ้นเอง มันเป็นเหมือนห่านทองคำที่ออกไข่ใบใหญ่ขึ้นทุกๆวัน แถมไข่ที่เราได้รับ มันก็ใบใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่ลงทุนเลย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘