เกษียณก่อนกำหนด

Value Investor หนุ่มสาวผู้มุ่งมั่นจำนวนไม่น้อยมักคิดถึงเรื่องการ "เกษียณก่อนกำหนด" บางคนบอกว่าอยากเลิกทำงานประจำตั้งแต่อายุ 40-50 ปี โดยที่พวกเขามักวางแผนและกำหนดเป้าหมายว่า จะมีเงินเพียงพอที่จะใช้ไปได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องทำงาน หรือเรียกว่ามี "อิสรภาพทางการเงิน" ได้ในวันที่เกษียณ
หลังจากนั้น เขาก็จะลงทุนเพียงอย่างเดียว โดยใช้ชีวิตและเวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เขาชอบ และเป็นประโยชน์ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดและเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมไม่แน่ใจว่า คนตั้งนั้นได้กำหนดเป้าอย่างสมจริงและมีเหตุผลดีพอหรือไม่
บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่า ค่าใช้จ่ายที่เขาต้องใช้ในอนาคต อาจจะมากกว่าปัจจุบันที่เขายังเป็นหนุ่มโสดที่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบคนอื่นนอกจากตนเอง บางทีเขาอาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวต่อปีโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่เขาจะทำได้จริงๆ เช่น ตั้งไว้ถึงปีละ 15% ซึ่งเป็นสถิติระดับโลก เป็นต้น
ในฐานะของคนที่ผ่านชีวิตการ "เกษียณก่อนกำหนด" มาแล้ว ผมคิดว่าการตั้งเป้าหมาย "เกษียณก่อนกำหนด" อาจจะไม่มีความจำเป็นเลย ว่าที่จริงผมเองไม่เคยตั้งเป้าเกษียณก่อนกำหนดด้วยซ้ำ ผมคิดว่าชีวิตคนนั้นไม่มีวันเกษียณ วันที่เกษียณ ก็คือวันที่เราตาย
ดังนั้น ผมจึงคิดแต่ว่า เราจะทำงานไปเรื่อยๆ ถ้างานนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับแรงงาน และเวลาที่เราเสียไป รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการทำงานนั้นด้วย การที่คิดว่าตนเองมีเงิน "พอ" นั้น เราอาจจะลืมเผื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety ไว้
ลองนึกดูว่า ถ้าเรามีเงินที่อยู่ในหุ้น 20 ล้านบาทแล้ว เราคิดว่าเราสามารถเลิกทำงานประจำได้ เราลาออกจากงาน แต่แล้วตลาดเกิดวิกฤติราคาหุ้นของเราตกลงมาเหลือเพียง 10 ล้าน อิสรภาพทางการเงินของเราอาจจะหายไป
ดังนั้น การทำงานประจำต่อไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นการเพิ่ม Margin of Safety และทำให้เรามีเงินมากขึ้น รวยขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้น
การที่จะ "เกษียณ" เมื่อไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณากันในช่วงเวลานั้น การตั้งเป้าล่วงหน้าไปไกลๆ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้ามันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมาย หรือกลยุทธ์ที่บีบรัดตัวเองมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เราต้อง "เสียสละ" ความสุขมากเกินไป เพื่อที่จะไปถึง "เป้าหมาย" ที่เราคิดว่ามีความหมายมากในวันนี้ แต่อาจจะไม่มีความหมายเมื่อเราไปถึง
ผมคิดว่า "ชีวิตคือการเดินทาง" เราต้องพยายามมีความสุขกับมันตลอดเส้นทาง เป้าหมายของชีวิตที่เราพูดถึง แท้ที่จริงมันคือหลักไมล์ต่างๆ ที่เราวางแผนจะเดินผ่าน การมี "อิสรภาพทางการเงิน" นั้น เป็นหลักไมล์ที่สำคัญ เพราะมันเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่เราชอบและมีความสุขได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราจะต้องเกษียณจากงานประจำถ้างานประจำนั้น ยังให้ผลตอบแทนต่างๆ คุ้มค่าและเรา "เลือก" ที่จะทำต่อไป
ในความเห็นของผมนั้น แผนของชีวิตที่เราควรมีและกำหนดให้ชัดเจนก็คือ แน่นอน เราควรมีเงินเท่าไรในแต่ละช่วงชีวิต เช่น เมื่ออายุ 40 ปี 50 ปี 60 ปี และในวันที่เราตายที่ 80 ปี เป็นต้น
สิ่งที่ต้องนำมาคิดคำนวณ ก็คือ รายได้จากการทำงานที่ควรจะต้องเพิ่มขึ้น ผมคิดว่า ควรตั้งไว้ว่าเงินรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7% รายจ่ายนั้น สิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของครอบครัว จะต้องคำนึงถึงเรื่องการเลี้ยงดูและให้การศึกษากับลูกๆ และการดูแลพ่อแม่ถ้ามี
ในกรณีนี้ คนที่ยังเป็นโสด อาจจะคาดการณ์ได้ยากกว่า เพราะยังไม่มีสถิติ และข้อมูลในอดีต และปัจจุบันที่จะบอกว่าต้องใช้เงินเท่าไร รายจ่ายอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะต้องตั้งไว้ ก็คือ รายจ่ายสำหรับรายการใหญ่ๆ เช่น การซื้อบ้านเป็นของตนเองถ้ายังไม่มี การเดินทางท่องเที่ยวไกลๆ หรือต่างประเทศ เช่น บางคนอาจตั้งว่าจะเดินทางเฉลี่ยปีละครั้งหรือสองปีครั้ง เป็นต้น
แผนการเงินที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การออมและการลงทุน นี่อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการที่เราจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปี ควรจะกำหนดเป็นเป้าหมายว่า เราจะออมโดยเฉลี่ยเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ผมคิดว่าอย่างน้อย 10% นี่คงต้องคำนึงถึงรายจ่ายของแต่ละคน ที่มีภาระไม่เท่ากัน
คนที่มีบ้านอยู่แล้ว ส่วนใหญ่น่าจะสามารถเก็บออมได้ดีกว่าคนที่ไม่มีบ้านและต้องผ่อนส่งอยู่ จะเก็บออมกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ควรคำนึงถึงว่าเงินที่เหลืออยู่นั้น ไม่ทำให้ชีวิตของเราขัดสน จนหาความสุขไม่ได้
การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการออม ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยยกเว้นว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีฝีมือสูง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าในระยะยาว หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความสะดวกในการทยอยลงทุนได้ดีกว่าหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอย่างอื่น
ดังนั้น ควรตั้งเป้าว่าเงินออมของเรา อย่างน้อยจะต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉลี่ย นั่นจะเป็นเครื่องมือในการคุมให้ตนเองอยู่กับหุ้นได้ในยามที่ตลาดหุ้น "ไม่ดี" ซึ่งมักจะเป็นโอกาสดีของการลงทุนในหุ้น
จากแผนทั้งหมดที่กล่าวถึง เราอาจกำหนดหลักไมล์คร่าวๆ ได้ว่าเราจะมี "อิสรภาพทางการเงิน" เมื่อเรามีอายุเท่าไร แผนที่ดีนั้น เราควรคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณปีละ 3% ไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้เงิน 20 ล้านบาทในวันนี้ อาจจะไม่พอในวันที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินในอีก 20 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่มีอิสรภาพทางการเงินได้จริงๆ ก่อนอายุ 60 ปี ซึ่งทำให้เราไม่สามารถเกษียณก่อนกำหนดได้ตามที่หวังไว้
อย่าเสียใจ หรือท้อถอย ชีวิตคือ "การเดินทาง" เงินคือปัจจัยอย่างหนึ่ง ที่ทำให้การเดินทางง่าย สะดวก และน่ารื่นรมย์ แต่มันไม่จำเป็นต้องมากจนเหลือเฟือ คนรวยจำนวนมากกลับทุกข์มากกว่าคนชั้นกลาง เช่นเดียวกัน คนเกษียณก่อนกำหนด ก็ไม่ได้มีความสุขกันทุกคน หลายคนที่ผมรู้จักบ่นว่า เขาไม่รู้จะทำอะไรหลังจากกลับจากการท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลก หลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
ข้อแนะนำสุดท้ายของผมสำหรับคนที่มองถึงการเกษียณก่อนกำหนด ก็คือ เราต้องมั่นใจว่ามีสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุขจริงในระยะยาว ผมเตือนเรื่องนี้ เพราะมักได้ยินคนบางคนพูดถึงเรื่องการสอนหนังสือหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
เหตุผลก็คือ การบรรยายหรือการสอนหนังสือเล็กๆ น้อยๆ นั้น ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกดีมีความสุข แต่การสอนนักเรียนที่ต้องมาฟังเราทุกสัปดาห์เพื่อให้สอบได้นั้น บางทีเราอาจจะไม่รู้สึกสนุกหรืออยากทำก็ได้

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘