คนตายไม่ได้พูด

ข่าวสารข้อมูลนั้น ดูเหมือนว่า จะเป็นอาวุธสำคัญในการเอาชนะ หรือสร้างความสำเร็จในชีวิต และการแข่งขันในปัจจุบันในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุน ดังนั้น ผู้รู้ หรือกูรูในด้านการลงทุน จึงมักจะบอกให้เราเปิดหูเปิดตารับข่าวสารให้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงภาวะการเงิน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งที่จะมีผลต่อพื้นฐานของกิจการ ความเคลื่อนไหวของ "ขาใหญ่" ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศที่จะมีผลต่อราคาหุ้นที่ขึ้นลงนาทีต่อนาที
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังต้องจับตาดูสินทรัพย์การลงทุนกลุ่มต่างๆ ที่กำลังปรับตัวขึ้นกันอย่างหวือหวา ตั้งแต่ราคาทอง น้ำมัน ตราสารอนุพันธ์ กองทุน FIF ที่ลงทุนในต่างประเทศ คนเชื่อกันว่า ผู้ที่มีข้อมูลมากกว่าและสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าจะเป็นผู้ชนะ
แต่ข้อเตือนใจของผมก็คือ เราต้องรู้ว่าข่าวสารที่เราได้รับนั้น บ่อยครั้งมันไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด ว่าที่จริง ข่าวสารที่เราได้รับส่วนใหญ่สะท้อนภาพที่แท้จริงเพียงด้านเดียว และเป็นภาพที่เล็กมาก นั่นคือ มันสะท้อนมุมมองของผู้ชนะ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ หรือเคยประสบความสำเร็จที่มีอยู่จำนวนน้อย และมันไม่ได้สะท้อนมุมมองของคนที่พ่ายแพ้ หรือล้มเหลวในการลงทุนซึ่งมีจำนวนมากกว่ามาก
ดังนั้น เวลาเราได้รับข่าวสาร เราจะต้อง "กรอง" และพินิจพิจารณาอย่างระมัดระวังว่า ข่าวสารนั้น อาจจะมีความ "ลำเอียง" มากน้อยแค่ไหน เราต้องรู้ว่า คนที่บอกข่าวสารนั้น เป็นคนที่ "รอด" จากมหันตรายและกลายเป็น "ฮีโร่" คนเดียว ส่วนคนอื่นอีก 9 คน "ตาย" หมด และไม่มีโอกาสมาพูดเล่าเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า และถ้าเป็นเช่นนั้น เราควรจะเชื่อข้อมูลที่ได้รับฟังแค่ไหน
ในช่วงนี้ดูเหมือนว่า จะมีคนได้กำไรจากทอง เพราะราคาทองขึ้นไปมาก ข้อมูลที่ออกมาก็คือ ทองเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีมาก ความเสี่ยงก็ต่ำเพราะทองสามารถรักษาคุณค่าไว้ได้เสมอ ที่สำคัญก็คือ ทองนั้นไม่มีการหลอกลวง หรือเก๊ เหมือนตราสารการเงิน เช่น หุ้นที่ราคาอาจถูกปั่นขึ้นไปสูงมาก หรือพื้นฐานของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงจนทำให้มูลค่าสูญหายได้มาก แต่ทองอย่างไรก็ยังเป็นทอง และมันให้ความรู้สึกที่ดีเสมอเวลาเรามองดูมัน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ คนที่เคยลงทุนถือทองมานานอาจจะเป็นสิบๆ ปี และไม่เคยได้ผลตอบแทนที่ดีเลยก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้มีโอกาสพูดเลยว่า การถือทองเป็นการลงทุนที่แย่แค่ไหน
ดังนั้น ก่อนที่เราจะลงทุนในทองคำ เพราะมีคนๆ หนึ่งบอกว่าดี เราควรจะคิดว่า ยังอาจจะมีคนอีก 9 คนที่เคยขาดทุนหรือไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำ เพียงแต่ว่าเขาเหล่านั้น ไม่ได้พูดหรือไม่มีโอกาสพูด
ในเรื่องของหุ้นเองนั้น เราคงได้ยินเกี่ยวกับเทคนิคในการลงทุนมากมาย ที่สามารถทำกำไรได้รวดเร็ว และมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เทคนิคเหล่านั้น แน่นอน ถูกบอกเล่าโดยคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนเชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จ จากการใช้วิธีการลงทุนแบบนั้น แต่สิ่งที่เราอาจจะลืมไปก็คือ เทคนิคนั้น อาจจะไม่สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาอื่นหรือกับหุ้นตัวอื่น
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นเทคนิคที่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาและอาจจะใช้ไม่ได้กับหุ้นทุกตัว ดังนั้น คนที่ใช้หรือเคยใช้เทคนิคนั้นจำนวนมากอาจจะไม่ประสบความสำเร็จและกลายเป็น "ผู้แพ้" ที่ไม่เคยมีโอกาสพูดว่าเทคนิคนั้นเป็นเทคนิคที่ใช้ไม่ได้
หลักทรัพย์ชนิดใหม่ๆ ที่ออกกันมา จำนวนมากเป็นตราสารอนุพันธ์ที่มีราคาผันผวนมากหรือมีการได้เสียสูงมาก เนื่องจากมีการใช้มาร์จินหรือการกู้ยืมมาลงทุนจำนวนมาก
การลงทุนในตราสารดังกล่าวอาจจะทำให้คนบางคนกำไรมหาศาลอย่างรวดเร็ว คนๆ นั้นอาจจะมีโอกาสและได้พูดในที่ต่างๆ ทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าจะทำกำไรได้รวดเร็ว และมากก็ควรจะลงทุนในตราสารเหล่านั้น ในขณะที่ผู้แพ้หรือคนที่ขาดทุนมหาศาลที่มีจำนวนมากกว่ากลับไม่มีโอกาสหรือไม่อยากจะพูดถึง
แม้แต่แวดวงของ VALUE INVESTOR เอง ก็ไม่พ้นจาก "ความลำเอียง" ที่ว่า ข่าวสารส่วนใหญ่ มักจะสะท้อนแต่เสียงของ "ผู้ชนะ" นั่นก็คือ คนที่ใช้หลักการ VALUE INVESTMENT อย่างถูกต้อง จะได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลเฉลี่ยปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เหตุผลก็คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูง จะเป็นคนที่ได้พูด หรืออยากพูด ในขณะคนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะไม่มีโอกาส หรือไม่อยากพูดถึงความล้มเหลวของตน
ดังนั้น ภาพที่ออกมาก็คือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คุณสามารถคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวปีละ 20-30% ได้ไม่ยาก และถ้าเชี่ยวชาญอาจจะได้ถึง 30-40% ในขณะที่ข้อเท็จจริงก็คือ VALUE INVESTMENT นั้น โดยเฉลี่ยผมคิดว่า จะทำได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้น หรือผลตอบแทนของตลาดปีละไม่น่าจะเกิน 5% สำหรับคนที่ค่อนข้างจะเก่งมาก
อันตรายของการที่เราไม่แยกแยะว่าข้อมูลที่เราได้รับอาจจะเป็นเสียงของผู้ชนะหรือคนที่ "รอดตาย" ก็คือ เราอาจจะเข้าใจผิดและตัดสินใจที่จะเชื่อตามข้อมูลนั้น ทั้งๆ ที่มันอาจเป็นข้อมูลที่มีโอกาส ที่จะเป็นจริง หรือเกิดขึ้นน้อยในขณะที่โอกาสที่จะเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้ามมีมากกว่า ผลก็คือ แทนที่เราจะได้กำไร เรากลับขาดทุน
ตัวอย่าง เช่น ถ้าเราได้รับฟังข้อมูลว่าทองเป็นการลงทุนที่ดี แต่ถ้าเราลงทุนตอนนั้น เราอาจจะขาดทุน เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุน FIF ที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เช่นเดียวกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย และเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผู้ชนะหรือผู้ที่อยู่รอดเท่านั้น ที่มีโอกาสพูด และผู้แพ้หรือ "คนตาย" ไม่ได้พูด
วิธีที่จะกรองข้อมูลได้ถูกต้องก็คือ เราต้องดูจากสถิติที่เป็นตัวเลขที่รวมข้อมูลทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ หรือทุกคน และดูเป็นระยะเวลายาวนาน โดยการทำเช่นนี้ เราก็จะไม่ถูกหลอกโดยข้อมูลด้านเดียวของผู้ชนะที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘