โฆษณาหุ้น

Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นคือ การลงทุนที่เราวิเคราะห์หามูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value ของหุ้น เสร็จแล้วเราก็ดูว่าราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ ถ้าต่ำกว่ามากถึง 20-30% ซึ่งเราถือว่ามี Margin of Safety หรือการเผื่อเหลือความปลอดภัยเพียงพอ เราก็ซื้อหุ้นตัวนั้นไว้ แล้วรอจนราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปจนถึงหรือเกินมูลค่าที่แท้จริง เราก็จะขายหุ้นตัวนั้นแล้วก็ไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่มีคุณสมบัติเป็น Value Stock หรือเป็นหุ้นคุณค่าตัวต่อไป ความเชื่อของ Value Investor ก็คือ ไม่ช้าก็เร็วราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหามูลค่าที่แท้จริงเสมอ แต่ปัญหาก็คือ หลังจากรอมานานราคาหุ้นอาจจะไม่ปรับตัวขึ้นไป ตามที่เราคาดเสียที หุ้นที่เราคิดว่าราคาถูก ก็อาจจะถูกอยู่อย่างนั้น อะไรจะทำให้คนอื่นมาซื้อหุ้นตัวนั้น และทำให้ราคาของมันวิ่งขึ้นไปหามูลค่าที่แท้จริง?
การที่คนอื่นจะมาซื้อหุ้นตัวนั้นมากขึ้นซึ่งจะดันให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปได้นั้น สิ่งที่สำคัญก็คือ มุมมองของเขาต่อหุ้นตัวนั้น จะต้องเปลี่ยนไป เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เขาต้องเชื่อว่าหุ้นตัวนั้น มีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงในสายตาของเขา จากเดิมที่เขาอาจจะมองว่าหุ้นตัวนั้นไม่ได้มีราคาถูก หรือจากเดิมที่เขาไม่ได้มองหุ้นตัวนั้นมาก่อนเลย การที่จะเกิดสถานการณ์อย่างนั้นได้จะต้องมีข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ทำให้คนอื่นคล้อยตามมากขึ้นข้อมูลใหม่หรือข้อมูลเดิมแต่ถูกอธิบายอย่างน่าเชื่อถือมากขึ้นนี้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนหุ้นให้มีราคาเพิ่มขึ้นจนถึงมูลค่าที่แท้จริงหรือแม้แต่สูงเกินกว่าพื้นฐานที่แท้จริงได้ วิธีที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ออกไปนั้นมีมากมายทั้งที่เป็นสิ่งที่ถูกบังคับโดยตลาดหลักทรัพย์ และที่ถูกเผยแพร่อย่างตั้งใจโดยคนที่ถือหุ้นอยู่และอยากให้หุ้นขึ้น ผมจะเรียกกระบวนการนี้ว่าการ "โฆษณาหุ้น"
การโฆษณาหุ้นแบบแรกเลย ที่ต้องเกิดขึ้นโดยกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ก็คือ การแจ้งผลประกอบการในทุกไตรมาส ของบริษัทจดทะเบียน บริษัทที่ "โฆษณาเก่ง" จะสามารถแจ้งผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพสูง นั่นก็คือ จะสามารถชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของกิจการ ได้มากกว่าบริษัทที่มีกำไรโตเท่ากัน การเผยแพร่ของเขาจะทั่วถึงกว่า และสามารถชักจูงนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพได้มากกว่าบริษัทอื่นที่มีกำไรในระดับเดียวกัน
นอกจากเรื่องของผลประกอบการแล้ว บริษัทยังถูกบังคับให้ต้องโฆษณาข้อมูลการตัดสินใจต่างๆ ที่สำคัญของบริษัทด้วย เช่น ในเรื่องของการจ่ายปันผล การขยายกิจการ การซื้อกิจการ การเพิ่มทุนแจกหุ้น หรือวอร์แรนท์ และอื่น ๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อราคาหุ้นในทางที่จะทำให้หุ้นวิ่งเข้าหามูลค่าที่แท้จริงถ้าเราคำนวณมูลค่านี้ได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การโฆษณาที่ไม่ดีหรือไม่มีประสิทธิภาพก็อาจทำให้หุ้นไม่ขยับไปตามที่ควรจะเป็น
การโฆษณาหุ้นที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงนั้น มักทำผ่านโบรกเกอร์หรือนักวิเคราะห์ เพราะเขาเหล่านี้ ติดต่อกับนักลงทุนจำนวนมาก คำแนะนำของนักวิเคราะห์จะทำให้นักลงทุนซื้อหรือขายตามคำแนะนำ และทำให้หุ้นขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเราซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่เราคิดแล้วว่ามูลค่าที่แท้จริงควรจะเป็น 100 บาทแต่ราคาที่เราซื้ออยู่ที่ 70 บาท เมื่อเราซื้อแล้วสักระยะหนึ่ง นักวิเคราะห์ออกรายงานว่าหุ้นตัวนั้นน่าซื้อมากหรือเป็น Strong Buy ให้ราคาเหมาะสมที่ 100 บาท แบบนี้ หุ้นก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้มาก ปัญหาของการโฆษณาผ่านช่องทางนี้ก็คือ นักวิเคราะห์นั้นบางทีมีการคิดคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงต่างจาก Value Investor ทำให้มูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณได้แตกต่างกันมาก นอกจากนั้น ในหลายๆ กรณี หุ้นที่เราซื้อลงทุนนั้นโบรกเกอร์ก็ไม่ได้วิเคราะห์ เพราะเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายน้อย ดังนั้น การโฆษณาผ่านช่องทางนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน
การโฆษณาหุ้นอีกแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูง และมักได้ผลดีก็คือ การโฆษณา "ผ่านราคาหุ้น" นี่เป็นการโฆษณาที่เหมาะกับหุ้นของกิจการขนาดเล็กที่มีปริมาณหุ้นหมุนเวียนน้อย และมูลค่าหุ้นในตลาดไม่มากนัก และคนโฆษณาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่การซื้อสามารถทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปได้ วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก คุณเพียงแต่ทุ่มซื้อหุ้นเพื่อกระชากราคาหลังจากที่เก็บหุ้นได้เพียงพอแล้ว ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอย่างแรง จะกระตุ้นให้คนอื่นสนใจมาดู และเข้ามาร่วมเล่น หลังจากนั้น นักวิเคราะห์ก็อาจจะเข้ามาแนะนำว่า มูลค่าที่แท้จริงควรจะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับข่าวสารต่างๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และในสื่ออื่นๆ
Value Investor หรือนักลงทุนประเภทอื่นเองก็มีธรรมชาติที่จะต้อง "โฆษณา" หุ้นที่ตัวเองได้ซื้อไว้แล้วกับเพื่อนฝูงคนรู้จัก และหลายๆ คนก็มักจะทำผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย เพราะเมื่อเราซื้อแล้วเราก็มักอยากให้หุ้นขึ้น ไม่ว่าเราจะขายหรือไม่ หลังจากหุ้นขึ้นมา การโฆษณาโดยบุคคลนี้ โดยทั่วไปก็มักจะอิงอยู่กับพื้นฐานของเขาเอง เช่น ถ้าเขาเป็น Value Investor เขาก็มักจะชี้ให้เห็นถึงมุมมองในด้านของคุณค่าของหุ้น ถ้าเขาเป็นนักเก็งกำไรเขาก็จะมองในมุมของการเก็งกำไร การโฆษณาโดยบุคคลนี้ มักจะมีผลกับหุ้นที่มีขนาดเล็กเพราะผู้รับฟังนั้นมักจะอยู่ในวงที่จำกัด แต่การขยายตัวของคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตก็ทำให้วิธีการนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก
การโฆษณาแบบเป็น "แคมเปญ" คือ การโหมโฆษณาในหลายๆ สื่อนั้น เป็นการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และในหลายๆ ครั้ง ทำให้หุ้นขึ้นไปเกินพื้นฐานได้ วิธีนี้มักจะทำได้เฉพาะคนที่เป็น "ขาใหญ่" นี่เป็นการโฆษณาที่เริ่มตั้งแต่เจ้าของ หรือผู้บริหารกิจการต้องร่วมมือโฆษณาเต็มที่ รายใหญ่ก็จะต้องโฆษณา ทั้งการโฆษณาส่วนบุคคลผ่านเพื่อนฝูง สื่ออินเทอร์เน็ต หรือหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับหุ้น นอกจากนั้นจะต้องทุ่มซื้อหุ้นเพื่อโฆษณาผ่าน "ราคาหุ้น" คือ ทำให้หุ้นวิ่งเพื่อกระตุ้นให้คนสนใจ และสุดท้ายก็คือ ต้องทำให้โบรกเกอร์เข้ามาร่วมมหกรรมด้วยในตอนท้ายซึ่งจะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างแรงพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายมหาศาลที่จะทำให้การ "ออกของ" เป็นไปได้ง่าย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘