ซื้อหุ้นยามวิกฤติ

ตลาดหมีรอบนี้ดูเหมือนว่า จะรุนแรงและมาอย่างรวดเร็วแทบไม่ทันตั้งตัว เหตุคงเป็นเพราะว่ามันมาจากต่างประเทศ ณ ขณะที่เขียนอยู่นี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาแล้วประมาณ 47% นับจากต้นปี มองย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์ ของตลาดหุ้นไทยกว่า 30 ปี ไม่เคยมีปีไหนยกเว้นปี 2540 ที่หุ้นไทยจะตกลงมาหนักเท่าปีนี้ ที่ผ่านมายังไม่ครบสิบเดือน
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ก็คือ ตลาดหมีที่รุนแรงมากนี้ เกิดขึ้นในยามที่ภาวะเศรษฐกิจ และการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในภาวะที่ปกติ
นอกจากนั้น ราคาของหุ้นก็ไม่ได้สูงกว่าพื้นฐานที่ควรเป็นเลย ผลก็คือ ดัชนีวัดความถูกแพงของหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ย ลดต่ำลงจนกลายเป็น "ตลาดหุ้นคุณค่า" นั่นคือ ค่า PE ของตลาดลดลงเหลือเพียงประมาณ 6.8 เท่า PB ประมาณ 1 เท่า และค่าผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6.4% ต่อปี และทำให้ตลาดหุ้นตอนนี้มีราคา "ถูกที่สุด" ในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง และถูกพอๆ กับช่วงปี 2540 ที่เราประสบวิกฤติครั้งใหญ่
ผมคงไม่ต้องพูดว่า นี่เป็นช่วงเวลาของการขายหุ้นหรือซื้อหุ้น แน่นอน ภาวะเศรษฐกิจต่อจากนี้ มีความไม่แน่นอนสูง โลกอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนอาจจะชะลอตัวลง ในสถานการณ์ที่เลวร้าย อาจจะมีการล้มละลายของบริษัทขนาดใหญ่ตามมาอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐ ยุโรป และแม้กระทั่งญี่ปุ่น
ในความคิดของผมแล้ว โอกาสที่บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากในประเทศไทย จะล้มละลาย หรือใกล้ล้มละลายอย่างที่เราเห็นในช่วงปี 2540 นั้น น่าจะมีน้อยมาก
เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว บริษัทของไทยขณะนี้มีหนี้น้อยลงไปมาก หลายบริษัทมีเงินสดมากมาย ดังนั้น การซื้อหุ้นในยามนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทอง ที่เราจะได้ผลตอบแทนงดงามในระยะยาวอย่างน้อย 3-4 ปีข้างหน้า
"หุ้นที่ว่าถูกแล้วก็ยังอาจจะมีหุ้นที่ถูกกว่า" ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจำนวนมากจึงยังไม่กล้าที่จะซื้อหุ้น พวกเขาอยากรอจนกว่าตลาดจะ "นิ่ง" คือ หุ้นไม่ตกลงไปต่อแล้วจึงจะซื้อหุ้น
กลยุทธ์การรอคอยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย เพราะเราไม่รู้ว่า เมื่อไรหุ้นจะตกถึงพื้นแล้วจริงๆ กลยุทธ์ที่ทำได้ง่ายกว่า ก็คือ การซื้อเฉลี่ย นั่นคือ ทยอยซื้อไปเรื่อยๆ ตั้งแต่จุดที่เราเห็นว่ามันถูกมากๆ อยู่แล้ว
กลยุทธ์แบบนี้ เราจะต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า ในช่วงแรกที่เราเข้าลงทุน เราอาจจะต้อง "ขาดทุน" อยู่บ้าง และอาจต้องขาดทุนเป็นระยะเวลาหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นปี เหตุผลก็เพราะว่า ในยามที่เกิดวิกฤติ ในบางครั้ง หุ้นอาจจะเหงาหงอยไปนานพอสมควรประเภทที่เรียกว่า "ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มมีแสงเข้ามา กำไรจะมากมหาศาล
สรุปก็คือ การลงทุนซื้อหุ้นในยามวิกฤติ ควรทำเหมือนกับว่า เรากำลังซื้อธุรกิจที่ดีและมั่นคง เพื่อเก็บไว้เป็นสมบัติที่จะสามารถเก็บกินในอนาคตระยะยาวในราคาที่ต่ำมาก ส่วนว่าซื้อแล้วราคากลับลดลงไปอีก เราต้องคิดว่า เป็นเรื่องความโชคดีของคนอื่นที่ซื้อได้ถูกกว่าเรา อย่าไปอิจฉาเขา เราควรพอใจในสิ่งที่เราได้มา ซึ่งคุ้มค่ามากอยู่แล้ว
ประเด็นสำคัญต่อมา ก็คือ เราต้องเลือกซื้อหุ้น ที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนมาก เมื่อสภาวะวิกฤติคลี่คลายลง การซื้อหุ้นโดยไม่ดูพื้นฐาน แต่ดูที่ราคาหุ้นที่ตกลงมาเป็นหลักย่อมไม่ปลอดภัย เหตุก็เพราะ กิจการหลายแห่งอาจจะประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ตามมา และทำให้มันมีปัญหาล้มละลาย หรือผลการดำเนินงานด้อยลงไปมาก แบบนี้การที่ราคาหุ้นตกลงมามากก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้
การเลือกหุ้นที่จะซื้อ วิธีที่ปลอดภัยกว่า จึงน่าจะอยู่ที่การวิเคราะห์แล้วพบว่า เมื่อเหตุการณ์วิกฤติผ่านพ้นไป ผลการดำเนินงานของบริษัท จะต้องกลับมาที่เดิม หรือใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในอดีต หรือปัจจุบันที่จะทำให้หุ้น มีค่า PE ต่ำมากและมีปันผลสูง
นอกจากนั้น เราจะต้องมั่นใจด้วยว่า บริษัทที่เราซื้อ แม้ภาวะวิกฤติจะรุนแรงแค่ไหน กิจการของบริษัทต้องยังอยู่ เพราะ "มันตายไม่ได้" เนื่องจากมันอาจจะเป็นรายเดียว หรือรายที่ใหญ่มากที่สังคมหรือประเทศต้องมี หรือมันตายไม่ได้เนื่องจากถ้ามันตาย รายอื่นจะต้องตายก่อนเพราะมันคือตัวที่แข็งแกร่งที่สุด
จากเหตุผลข้างต้น ผมคิดว่า เราจะมีหุ้นอย่างน้อยกลุ่มหนึ่ง ที่น่าจะปลอดภัยพอสมควรที่เราจะซื้อลงทุนในยามวิกฤติ นั่นก็คือ หุ้นที่มีอำนาจทางการตลาดสูง โดยเฉพาะกิจการที่มีอำนาจผูกขาด หรือกึ่งผูกขาด มีผู้ขายหรือให้บริการน้อยราย และกิจการนั้นเป็นสิ่ง "จำเป็น" หรือเป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่ เลือกที่จะยังใช้อยู่พอสมควรแม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ด้วยเงื่อนไขข้างต้น ผมคิดว่า หุ้นที่ไม่อยู่ในข่าย น่าจะรวมถึงหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย ที่มักจะไม่มีอำนาจทางการตลาดเลย ราคาสินค้าขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลกเป็นหลัก หุ้นที่เป็นโรงงานผลิตสินค้า ผมก็คิดว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าข่ายนัก เนื่องจากสินค้ามักจะมีการแข่งขันกันสูงทั้งจากภายในและต่างประเทศ หุ้นที่จะผ่านเกณฑ์ขั้นต้น ผมคิดว่า จะอยู่ในกลุ่มบริการเป็นหลัก แต่จะเป็นกลุ่มไหนหรือตัวไหน นักลงทุนคงต้องวิเคราะห์กันเอง
ประเด็นที่สำคัญสุดท้าย ก็คือ เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายแล้ว ราคาที่จะซื้อก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องการว่าราคานั้น จะต้องถูกมาก เกณฑ์ง่ายๆ ก็คือ ถ้าสิ่งที่เราคิดถูกต้อง เราต้องหวังว่า เราจะได้กำไรจากการลงทุนถือหุ้น 3-4 ปีไม่น้อยกว่า 1-2 เท่าของราคาที่เราซื้อ ถ้าราคาหุ้นยังลงมาไม่ถึงก็อาจจะต้องรอไปก่อน เมื่อราคาตกลงมาถึงจุดแล้ว เราอาจทยอยซื้อไปตามกลยุทธ์ซื้อเฉลี่ยที่กล่าวถึงแล้ว
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงกลยุทธ์การลงทุนซื้อหุ้นในภาวะวิกฤติแบบหนึ่ง ที่เน้นความปลอดภัยพอสมควร แน่นอนว่า ยังมีกลยุทธ์การลงทุนแบบอื่นๆ อีกมากมายที่แต่ละคนจะคิดกันได้
คำแนะนำสุดท้ายของผม ก็คือ ในยามที่เกิดวิกฤติ "อย่ากลัว" วิธีที่จะลดความกลัว ก็คือ มองที่ตัวธุรกิจ หรือบริษัทที่เราจะลงทุน ถ้าเราเห็นว่าเขายังทำงานกันเป็นปกติ ความกลัวของเราจะลดลง แล้วเราก็จะพบว่า ราคาหุ้นที่ดิ่งลงมา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นโอกาสที่สำคัญในชีวิต

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘