เหนือฟ้ายังมีฟ้า

ผมชอบลงทุนในบริษัทที่ดีเยี่ยมหรือดีที่สุดในอุตสาหกรรม ยิ่งเป็นบริษัทที่เหนือกว่าคู่แข่งมากประเภทที่เรียกว่า Dominant Firm หรือบริษัทที่สามารถ "ครอบงำ" อุตสาหกรรมหรือคู่แข่งอื่นๆ ได้ ผมก็จะยิ่งชอบ เพราะบริษัทประเภทนี้ จะมีความสามารถในการแข่งขันสูง มีกำไรที่ดี ความเสี่ยงทางธุรกิจจะต่ำ และถ้าบริษัทมีการเติบโตที่ดี และมีราคาหุ้นที่ถูกด้วยแล้วละก็ การซื้อหุ้นดังกล่าวแล้ว ถือเก็บไว้ยาวนาน ก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมโดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
แต่การเป็นบริษัทที่โดดเด่นแทบจะสามารถครอบงำธุรกิจได้นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะไม่มีความเสี่ยงเลย บริษัทอาจจะไม่มีหรือมีการคุกคามจากคู่แข่งน้อยมากเพราะศักยภาพทางธุรกิจของคู่แข่งอาจจะไม่สามารถเทียบกับบริษัทได้เลย แต่บริษัทอาจจะมีการคุกคามจาก "รัฐ" ทั้งในทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้ยอดขายและ/หรือกำไรของบริษัท ถดถอยลงซึ่งจะทำให้มูลค่าของหุ้นลดลงได้ ดังนั้น คนที่ลงทุนในหุ้นประเภท Dominant Firm จะต้องคอยติดตามดูว่าบริษัทอาจจะกำลังโดน "อำนาจรัฐ" เล่นงานหรือเปล่ามากยิ่งกว่าการคุกคามจากคู่แข่ง
อำนาจรัฐนั้นมาได้จากหลายๆ ทางเช่น ผ่านทางกฎหมายต่อต้านการผูกขาด กฎหมายควบคุมราคาสินค้า กฎหมายเกี่ยวกับอาหารและยา กฎหมายเกี่ยวกับการค้าปลีกค้าส่ง กฎหมายผังเมือง กฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาและเผยแพร่ข่าวสาร เรื่องของการให้สัมปทานแก่เอกชน และอื่นๆ อีกร้อยแปด การบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้น บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยุติธรรมและมีเหตุผลเพื่อปกป้องผู้บริโภคและสังคมโดยรวม แต่บ่อยๆ ครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลที่ดีนักและขัดกับแนวปฏิบัติสากล ซึ่งทำให้บางครั้งเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่า ความเสี่ยงของบริษัทที่เราวิเคราะห์นั้นใกล้เคียงกับความเป็นจริงหรือเปล่า เพราะเราวิเคราะห์ได้เฉพาะสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลและมีแนวปฏิบัติในระดับสากลเท่านั้น
ลองมาดูเรื่องของการคุกคามบริษัท Dominant Firm ในต่างประเทศก่อนที่จะพูดถึงกิจการในประเทศไทย ตัวอย่างเช่นในกรณีของ ไมโครซอฟท์ นี่คือ บริษัทที่ครอบงำโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์กว่า 90% ทั่วโลก ไมโครซอฟท์ถูกรัฐบาลในหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปเล่นงานในหลายๆ เรื่องส่วนใหญ่จะผ่านกฎหมายต่อต้านการผูกขาด อีกกรณีหนึ่งก็คือโค้กซึ่งมีฐานะทางการตลาดที่โดดเด่นทั่วโลก แต่ก็ถูกต่อต้านเกือบทุกแห่งเช่นเดียวกัน โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่การถูกโจมตีว่าเป็นเครื่องดื่มที่ทำลายสุขภาพ ดังนั้นจึงถูกห้ามขายในสถานที่ต่างๆ เช่น ตามโรงเรียน เป็นต้น
ในเมืองไทยเองนั้น ผมคิดว่าการคุกคามจากรัฐมีค่อนข้างมาก และบ่อยครั้งผมยังไม่ค่อยเห็นเหตุผลที่ดี ลองไล่ดูเรื่องที่เคยเป็นข่าว และเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้วเป็นปกติ เริ่มจากเรื่องแรกที่เกิดขึ้นเป็นประจำก็คือ การควบคุมราคาของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในความเห็นผมคิดว่ารายชื่อของสินค้าที่ต้องดูแลและควบคุมนั้น ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างเก่าและเกิดขึ้นนานมากสมัยที่สังคมไทยยังเป็นสังคมที่ "ขาดแคลน" สินค้าอุปโภคบริโภคเนื่องจากเรายังไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ และมีผู้ขายสินค้าน้อยราย ดังนั้นเราจึงมักจะรู้สึกว่ามีรายชื่อสินค้า "แปลกๆ" ที่ทางการต้องดูแล จับตามองหรือควบคุม ในขณะที่ในปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าเมืองไทยมีการผลิตและขายสินค้าจำเป็นและไม่จำเป็นเกือบทุกชนิด มากเกินพอที่ทำให้เราแทบไม่จำเป็นต้องควบคุมราคาสินค้าเลย เพราะตลาดจะเป็นคนที่กำหนดราคาสินค้าที่พ่อค้าจะขายได้
ช่วงระยะหลังๆ โดยเฉพาะที่มีกระแสของการ "ต่อต้านทุนนิยม และต่างชาติ" เราก็เริ่มเห็นอำนาจรัฐ ที่จะเริ่มคุกคามบริษัทที่มีอำนาจทางการตลาดสูง เช่นในกลุ่มของการค้าปลีกสมัยใหม่หรือ Modern Trade ซึ่งนอกจากจะชะลอการขยายตัวแล้วก็ยังพยายามกำหนดกฎเกณฑ์การตั้งราคาซื้อและขายสินค้า เพื่อลดอำนาจทางการตลาดหรือกำไรของกิจการที่โดดเด่นเหล่านั้น
การแทรกแซงทางธุรกิจโดยอ้างหรืออิงปัญหาสังคมและสุขภาพก็เริ่มมีมากขึ้นและนี่ก็เป็นการคุกคามที่เรามักจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มีความพยายามที่จะกำหนดเวลาในการออกอากาศรายการทีวีตามการจัดเรทรายการต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงรายได้ และกำไรของสถานีคงลดน้อยลง มีการพูดถึงการควบคุมการโฆษณาขนมสำหรับเด็ก เพราะเห็นว่าเด็กปัจจุบันมีปัญหาโรคอ้วน คนที่เสนอความคิดเองคงคิดว่าถ้าลดการโฆษณาลงจะทำให้เด็กไทยอ้วนน้อยลง แต่ที่น่าทึ่งมากกว่าก็คือ มีข่าวเรื่องสุขภาพกับการกินเรื่องหนึ่งบอกว่า น่าจะมีการเก็บภาษีน้ำจิ้มสุกี้ เนื่องจากเป็นอาหารรสจัดเป็นผลเสียต่อสุขภาพ คิดดูแล้ว ถ้าเรื่องนี้เป็นจริงต่อไป เวลากินอาหารนอกบ้าน คนไทยคงต้องเลิกขอน้ำปลาพริกขี้หนู เพราะถ้าร้านไหนจัดให้อาจจะต้องเสียภาษีเพิ่มเพราะเป็นน้ำจิ้มที่มีรสจัดทำลายสุขภาพ
การคุกคามต่อธุรกิจจากอำนาจรัฐนั้น แนวโน้มมักจะเกิดสูงกว่าในช่วงที่ประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะที่เป็นประชาธิปไตย ที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้คนใช้อำนาจไม่ต้องสนใจเรื่องความเห็นของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงมากนักเช่นเดียวกัน ในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะพยายามสร้างกฎเกณฑ์ควบคุมธุรกิจ และเพิ่มบทบาทของรัฐโดยคิดว่านั่นเป็นวิธีที่จะจัดสรรทรัพยากรของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพกว่า ในทั้งสองกรณี บริษัทที่มีแนวโน้มที่จะถูกกระทบก็คือ ธุรกิจที่โดดเด่น และมีอำนาจทางการตลาดสูง และนี่คือ ความเสี่ยงที่สำคัญของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น เวลาวิเคราะห์หุ้นโดยเฉพาะ Super Stock นั้นให้นึกถึงสุภาษิต "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" เอาไว้ด้วย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘