พลังของผู้ถือหุ้น

ระยะนี้เป็นช่วงเวลาของการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคนที่เป็นนักลงทุนควรให้ความสนใจเข้าร่วม เพราะมันเป็นโอกาสที่จะได้พบและเรียนรู้จากบริษัทที่เราเป็นเจ้าของมากขึ้น สิ่งที่ผมเห็นว่าเราจะได้มากที่สุด ในการเข้าร่วมประชุมก็คือ Feeling หรือความรู้สึกต่อผู้บริหาร ที่สำคัญ เราจะรู้ว่าผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่คิดเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นทั่วไปอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือ เขาคิดว่าเราก็เจ้าของบริษัทเหมือนกัน หรือเขาคิดว่าเราไม่มีความหมายอะไร เป็นเพียงนักเก็งกำไรคนหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวก็ขายหุ้นทิ้งแล้ว ดังนั้น อยากทำอย่างไรก็ทำและไม่สนใจฟังคำแนะนำ หรือข้อเสนออะไรทั้งนั้น
นอกจากเรียนรู้บริษัทและผู้บริหารแล้ว เราจะยังได้เรียนรู้ผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วยกันเองว่า พวกเขาเป็นคนอย่างไร เหมือนเราหรือไม่ หลายๆ ครั้ง เราอาจจะได้เพื่อนหรือพบคนที่รู้จักจากการไปเข้าร่วมประชุมด้วยกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องทางสังคมของคนที่ลงทุนเป็นเรื่องเป็นราวในตลาดหุ้นที่ไม่อาจหาได้จากการศึกษาทางเอกสาร หรือการศึกษาด้วยตนเอง ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนที่มุ่งมั่น การเข้าประชุมผู้ถือหุ้นเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด
สิ่งที่ควรสังเกตจากที่ประชุมนั้น ในเบื้องต้นผมคิดว่าควรจะเริ่มจากการจัดสถานที่ เอกสารการลงทะเบียน ของชำร่วย อาหารและน้ำดื่ม การแสดงผลิตภัณฑ์ถ้ามี สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องพื้นผิวแต่ผมคิดว่า ถ้าบริษัทปล่อยปละละเลยมาก ก็อาจเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความไม่เอาใจใส่ต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยในเรื่องที่ใหญ่กว่ามากอื่นๆ
ผู้บริหารและกรรมการที่เข้าร่วมประชุมเป็นประเด็นต่อมาที่ควรสังเกตดู การมีผู้บริหารระดับสูงและกรรมการมากันพร้อมหน้า โดยเฉพาะกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบนั้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะการที่มีกรรมการมาน้อย และกรรมการตรวจสอบแทบไม่ปรากฏตัวเลย อาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่า บริษัทนั้นถูกควบคุมโดยเจ้าของที่อาจจะได้รับการตรวจสอบน้อยเกินไป
การดำเนินการประชุม โดยเฉพาะในส่วนของการแถลงผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ของบริษัท ผมคิดว่าการใช้แผนภูมิ และการสรุปสาระสำคัญที่เข้าใจง่ายเป็นเรื่องที่จะแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารรู้จักธุรกิจของตนเองดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราเข้าไปฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยของความสำเร็จของบริษัท และบริษัททำได้ดีแค่ไหนในปัจจัยเหล่านั้น นั่นอาจจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารอาจจะยังไม่มีความสามารถเพียงพอ หรืออาจจะมีข้อจำกัด ในด้านของความสามารถในการสื่อสาร หรือไม่อย่างนั้นก็คือ ไม่สนใจที่จะอธิบายให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่เขาอาจจะไม่เห็นความสำคัญ
การตอบคำถามของผู้บริหารกับทุกคำถาม โดยไม่ "ตัดบท" เร็วเกินไป หรือเลี่ยงคำถาม และพยายามให้มีการลงคะแนนตัดสิน โดยไม่ฟังการอภิปรายของผู้ถือหุ้นนั้น ผมคิดว่าเป็นอาการที่ไม่ดี การประชุมประจำปีผู้ถือหุ้นนั้น มีเพียงปีละครั้ง ดังนั้น การที่จะต้องให้เวลาอย่างน้อยสัก 2-3 ชั่วโมงเป็นเรื่องที่มีเหตุผล การที่ไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ไม่รื่นรมย์ อาจแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารเป็นคนที่ไม่เปิดกว้าง หรือมีลักษณะ "เผด็จการ" หรืออาจจะพยายามปกปิดสิ่งที่ไม่ดี หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตน นอกจากคำถามในวาระการประชุมแล้ว การตอบคำถามหลังการประชุมของผู้บริหาร ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของผู้บริหารต่อผู้ถือหุ้นด้วย ผู้บริหารที่เลิกประชุมแล้วเดินกลับเลย กับผู้บริหารที่ตอบคำถามคนที่มาถามคำถามต่ออีกหนึ่งชั่วโมงนั้น ผมคิดว่ามีความแตกต่างกันแน่นอนในด้านของการดูแลผู้ถือหุ้น
ในด้านของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมนั้น บ่อยครั้งก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า หุ้นของบริษัทเป็นหุ้นในแนวไหน ถ้าผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมจำนวนมากดูแล้วไม่ใช่คนที่ "คงแก่เรียน" แต่เป็นรายย่อยที่เน้นไปรับของชำร่วยและรับประทานอาหาร เวลาถามคำถามก็มักจะเป็นการบ่นหรือด่าว่าผู้บริหารที่จัดของชำร่วยหรืออาหารน้อยเกินไป หรือ "ทำให้หุ้นตก" แบบนี้ก็อาจจะแปลว่า เรากำลังอยู่ในที่ประชุมของบริษัทที่เป็นหุ้นเก็งกำไร
แต่ถ้าคนที่เข้าร่วมประชุมนั้นดูแล้วมีความรู้มาก "ทำการบ้าน" มา และถามคำถามที่เป็นตัวเลขค่อนข้างละเอียด หรือถามคำถามที่เกี่ยวกับการดำเนินงาน และการแข่งขันของบริษัทมาก แบบนี้ก็อาจจะเป็นเครื่องบอกว่า บริษัทอาจจะเป็นหุ้นแนว Value ที่คนลงทุนแต่ละคนต่างก็วิเคราะห์กิจการกันเป็นอย่างดี
การประชุมนั้นนอกจากจะเป็นการวิเคราะห์และหาความรู้เพิ่มเติม รวมทั้งเป็นเรื่องของการพบปะเพื่อนฝูงแล้ว ในบางครั้งยังเป็นการปกป้องดูแลผลประโยชน์ของเราในฐานะเจ้าของด้วย เพราะในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือผู้บริหารนั้น กฎหมายและกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต.เปิดโอกาสให้เราใช้สิทธิวีโต้ได้ เช่น การออก ESOP แจกหุ้นราคาถูกให้แก่ผู้บริหารนั้น ผู้ถือหุ้นเพียง 5 หรือ 10% ของผู้เข้าประชุมก็สามารถค้านได้ หรือในกรณีของการเพิ่มทุนนั้น ผู้ถือหุ้นเพียง 25% ก็สามารถล้มมติได้ ซึ่งทั้ง 2 กรณี ก็มีการทำสำเร็จมาแล้วในหลายบริษัท
นอกจากนั้น ในหลายๆ บริษัทนั้น เมื่อได้รับการทักท้วงจากผู้ถือหุ้นรายย่อย แม้ว่าจำนวนเสียงค้านอาจจะไม่มากพอ แต่เมื่อมีการค้านกันหลายๆ คน ทางบริษัทก็อาจจะยอมถอนมติออกไปเอง ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ดังนั้น การเข้าประชุมของผู้ถือหุ้นและกล้าที่จะพูดอภิปราย จึงเป็นพลังที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘