กระ(ทิง)เทียม

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นมาในช่วงนี้อาจทำให้คนทั่วไปคิดว่าคนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหุ้นคงรวยกันทั่วหน้า เพราะดัชนีปรับตัวขึ้นมาจากสิ้นปีที่แล้วที่ 680 จุด ถึงวันที่ 30 ต.ค.50 เป็น 907 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 33% มูลค่าหุ้นทั้งตลาดหรือ Market Cap. ก็เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท เป็น 7 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านล้านบาท แต่นักลงทุน โดยเฉพาะ Value Investor หลายคนกลับรู้สึกว่าหุ้นของตนเองมีมูลค่าเพิ่มขึ้นน้อยมากทั้งๆ ที่การเพิ่มขึ้นของดัชนีในระดับนี้ต้องถือว่าเป็นตลาด "กระทิง" เต็มตัว
ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงลองทำวิจัยเล็กๆ ดูว่า "กระทิง" ตัวนี้มาจากไหน เป็นกระทิงจริงๆ หรือเปล่า นั่นคือ เป็นตลาดที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นไปในระดับสูงไม่ใช่เป็นการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ๆ เพียงไม่กี่ตัวในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น
วิธีการดูของผมก็ทำแบบง่ายๆ โดยผมเลือกเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นมากที่สุด 10 ตัว นับตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วถึงวันที่ 30 ต.ค.50 เมื่อกำหนดได้แล้วก็จะมาดูว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นกลุ่มไหน และทำไมมูลค่าจึงเพิ่มขึ้นมาก และดูต่อไปว่ามันมีราคาเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ มากหรือน้อยกว่า 33% ที่เป็นค่าเฉลี่ย จากนั้นก็ไปดูต่อว่า หุ้นที่เหลือทั้งหมดกว่า 500 ตัว สร้างมูลค่าเพิ่มเท่าไร และราคาเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะดูว่า ถ้าเราบังเอิญไม่ได้เล่นหรือถือหุ้น 10 ตัวดังกล่าว เราน่าจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยกี่เปอร์เซ็นต์
เรียงลำดับตั้งแต่หุ้นที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุดก็คือ หุ้นของ ปตท. ซึ่งใช้เวลาเพียง 10 เดือนมีมูลค่าเพิ่มจาก 589,034 ล้านบาท เป็น 1,205,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 616,066 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 105% และทำให้หุ้น ปตท. กลายเป็นอภิมหาหุ้นในตลาดคือ ตัวเดียวมีมูลค่าตลาดถึง 17% ของหุ้นทั้งตลาด
หุ้นที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นในลำดับที่สอง ก็คือ ลูกของหุ้น ปตท. หรือ ปตท.สผ. ซึ่งสร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 213,562 ล้านบาท และทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 317,099 ล้านบาท เป็น 530,661 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 67% และปตท.สผ. ก็กลายเป็นอภิมหาหุ้นอีกตัวหนึ่งที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 8% ซึ่งเมื่อรวมกับ ปตท. ก็จะกลายเป็น 25% หรือเป็น 1 ใน 4 ของหุ้นทั้งตลาด
นอกจาก ปตท. และ ปตท.สผ. แล้ว หุ้นในกลุ่มของ ปตท. ที่เข้าอยู่ในบัญชี 10 บริษัทที่สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มสูงสุดยังประกอบด้วยหุ้นไทยออยล์หรือ TOP ซึ่งมาในอันดับที่ 4 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 91,801 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 86% หุ้น ปตท. เคมิคอล หรือ PTTCH ที่มาในอันดับ 5 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 90,172 ล้านบาท
หุ้นอะโรเมติกส์ หรือ ATC ซึ่งมาในอันดับ 9 มีมูลค่าเพิ่ม 39,235 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 125% และหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ซึ่งมาในอันดับที่ 10 มีมูลค่าเพิ่ม 25,797 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 53% รวมแล้วหุ้นที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุด 10 อันดับ เป็นหุ้นในกลุ่มปตท.ถึง 6 บริษัท และทั้งหมดเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานหรือปิโตรเคมี
หุ้นในลำดับที่ 6 และเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นกันก็คือ หุ้นบ้านปู (BANPU) ซึ่งจากเดิมเป็นหุ้นขนาดกลางมีมูลค่าตลาดเพียง 49,458 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 127,178 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 77,720 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 157% ภายในเวลาเพียง 10 เดือน ถึงจุดนี้เราน่าจะพูดได้เต็มปากว่า การขึ้นของหุ้นรอบนี้ หรือกระทิงตัวนี้ หลักๆ มาจากกลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมันและถ่านหิน และปิโตรเลียม ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงปีที่ผ่านมา
หุ้นที่เหลืออีก 3 ตัว ต่างก็มาจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยตัวแรกคือ หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาหรือ BAY ที่มาในอันดับที่ 3 สร้างมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 106,826 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 197% หุ้นธนาคารกสิกรไทยหรือ KBANK ที่มาในอันดับ 7 สร้างมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้น 61,271 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% และหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ที่มาในอันดับ 8 สร้างมูลค่าตลาดเพิ่ม 60,202 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55%
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มแบงก์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มเฉพาะธนาคารเอกชนที่มีปัญหาน้อย หรือมีการจัดการที่ดีในสายตาของนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ
โดยรวมแล้ว 10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มสูงสุด มีมูลค่าตลาดในวันสิ้นปีที่แล้วประมาณ 1,561,906 ล้านบาท และได้สร้างมูลค่าเพิ่ม 1,382,652 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 88.5% และคิดเป็น 76% ของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาด ในขณะที่หุ้นอื่นๆ ที่เหลือกว่า 500 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 3,516,799 ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มเพียงประมาณ 438,835 ล้านบาท หรือมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 12.5% และคิดเป็นเพียง 24% ของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาด
คนอาจจะสงสัยว่า หุ้นขึ้นเพราะบริษัทสุดยอด 10 บริษัทนั้น มีกำไรดีขึ้นมาก แต่ตัวเลขกำไร 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ของปีนี้ของทั้ง 10 บริษัทรวมกันเท่ากับ 102,127 ล้านบาท ถ้าเอา 2 คูณก็ประมาณได้ว่าทั้งปีนี้น่าจะได้ 204,254 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้ว 10 บริษัทนี้มีกำไรรวมกันเท่ากับ 203,610 ล้านบาท คิดแล้ว กำไรปีนี้อาจจะไม่เพิ่มเลย เท่ากับว่า ปีนี้ที่ราคาและมูลค่าหุ้นของสุดยอดบริษัทเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวนั้น อาจจะไม่ได้มาจากเรื่องของกำไรเลย การเพิ่มขึ้นอาจจะมาจากการปรับมุมมองของนักลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ที่มองว่าหุ้นเหล่านี้มีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นคล้ายๆกันในต่างประเทศ และอาจจะมองว่าในอนาคต หุ้นเหล่านี้น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น เพราะราคาของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะพลังงาน และปิโตรเลียมกำลังมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก
ส่วนหุ้นอีกหลายร้อยตัวซึ่งต่างชาติไม่สนใจ หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ขายให้แก่คนไทยเป็นหลักนั้น ราคาหุ้นก็ไม่ได้ขึ้นโดดเด่นอะไรที่จะเรียกว่าตลาดอยู่ในภาวะกระทิงได้ ดังนั้น ผมจึงขอสรุปว่า กระทิงตัวนี้ เป็นกระ(ทิง)เทียม ครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘