แนวรบด้านตะวันออก

การลงทุนนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับการทำสงคราม เพียงแต่เป็นสงครามทางการเงิน ที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อและชีวิต สิ่งที่จะเสีย ก็คือ เงินถ้าเรา "แพ้สงคราม" ตรงกันข้าม เราจะได้เงินถ้าเรา "ชนะสงคราม" เราในฐานะของนักลงทุน ถ้าจะเปรียบก็คือ "แม่ทัพ"
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ "การวางยุทธศาสตร์สงคราม" นั่นก็คือ การตัดสินใจในการ "วางกำลัง" ซึ่งก็คือการลงทุนหุ้นแต่ละตัวและจัดเป็นพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งจะคล้ายๆ กับการจัดกองทัพเป็นหลายๆ กองที่จะทำให้สามารถชนะสงครามได้
ผมคงไม่พูดถึงการจัด "กองทัพหุ้น" เพื่อเอาชนะสงครามในวันนี้ เหตุผลก็เพราะว่า คนที่ลงทุนวันนี้ต่างก็กำลังอยู่ในภาวะที่กำลังจะ "แพ้สงคราม" คือขาดทุนกันมากมาย
ถ้าเปรียบไป ก็เหมือนกับการที่ข้าศึกกำลังรุกรบเข้ามาด้วยพลังการยิงมหาศาล เรากำลังจะพ่ายแพ้ ประเทศกำลังใกล้จะถูกยึดครอง ทหารล้มตายกันมาก เรามีทางเลือกสองทางคือ หนึ่ง ถอยเพื่อตั้งหลักใหม่ หรือ สอง สู้ต่อเพื่อรอให้สถานการณ์เปลี่ยนแล้วกลับมารบชนะในที่สุด
พูดง่ายๆ ในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และหุ้นที่เราถืออยู่ตกลงมามากมายแบบนี้ เราควรล้างพอร์ต และเก็บเงินที่ยังพอเหลืออยู่ไว้ เพื่อกลับมาลงทุนต่อในภายหลัง หรือ ยังคงถือหุ้นเกือบทั้งหมดไว้ในพอร์ต เพื่อหวังว่าราคาหุ้นจะตีกลับมาเมื่อสถานการณ์ตลาดหุ้นฟื้นตัว
ผมอยากจะยกบทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อให้ข้อคิดกับการที่เราจะสู้ หรือจะถอยในการลงทุนเมื่อเราประสบกับการสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งเป็นศึกสองครั้งที่นักประวัติศาสตร์สงคราม ต้องจารึกว่าเป็นการตัดสินใจที่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีของสงคราม นั่นคือ ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งกำลังจะแพ้ กลายเป็นผู้ชนะสงครามในท้ายที่สุด
ศึกแรก ก็คือการถอยของกองทัพเคลื่อนที่เร็วของอังกฤษ ที่ส่งไปช่วยป้องกันฝรั่งเศสที่ชายหาดเมืองดังเคิร์ก หรือที่เรียกว่า "ปฏิบัติการไดนาโม" นี่คือยุทธการที่เกิดขึ้นเมื่อกองทัพเยอรมันได้ใช้ "ปฏิบัติการสายฟ้าแลบ" รุกรบจนสามารถยึดฝรั่งเศสได้อย่างรวดเร็ว และตัดขาดกองกำลังของฝ่ายพันธมิตรออกเป็นส่วนๆ
กองทัพเคลื่อนที่เร็วของอังกฤษ ตัดสินใจหนีจากการปิดล้อม และอพยพกำลังพลทั้งหมดออกทางชายหาดดังเคิร์ก ภายในเวลาเพียงประมาณ 10 วัน กองกำลังทหารกว่าสามแสนนาย ก็สามารถข้ามช่องแคบอังกฤษกลับสู่ประเทศได้โดยทิ้งสัมภาระ และอาวุธยุทโธปกรณ์เกือบทั้งหมด รวมทั้งเครื่องบินและเรือที่ถูกทำลายเกือบสองร้อยลำ
ยุทธการไดนาโม แน่นอน เกิดการสูญเสียมหาศาล โดยการถอยหนีอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ากำลังพ่ายแพ้ ก็ทำให้อังกฤษสามารถรักษาชีวิตทหาร ที่มีความสามารถและประสบการณ์ในการรบดีที่สุดเอาไว้ได้ กำลังทหารจำนวนกว่าห้าแสนนายที่หนีกลับอังกฤษได้ในยุทธการไดนาโมนั้น
ในช่วงต่อมาของสงคราม ได้กลายเป็นกองกำลังหลัก และเป็นนายทหารที่คุมกำลังทหารรุ่นใหม่ๆ เข้าสู้รบกับฝ่ายอักษะอย่างสามารถอาจหาญ และเป็นฝ่ายชนะสงครามในที่สุด
การลงทุน ถ้าเราวิเคราะห์ว่า สถานการณ์จะเลวร้ายมาก และโอกาสที่จะฟื้นตัวยังยาวไกล หรือมองไม่เห็น ทันทีที่เห็นสัญญาณ สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ รีบหนี รักษาเงินที่ยังเหลืออยู่ค่อนข้างมากเอาไว้ อย่าปล่อยให้การลงทุน "สลายไปต่อหน้า"
ศึกที่สองคือปฏิบัติการ Barbarossa ของเยอรมัน ที่รุกรบเข้าไปเพื่อยึดครองรัสเซีย หลังจากยึดครองฝรั่งเศสและยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ไว้ได้แล้ว และนี่คือสิ่งที่คนชอบเรียกกันว่า "แนวรบด้านตะวันออก" นี่คือการศึก "แห่งศตวรรษ" ที่มีการสู้รบที่รุนแรงและโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
ฝ่ายอักษะสามารถรุกไปประชิดเมืองหลวง คือมอสโก และเมืองหลักอีกสองเมือง คือ เลนินกราด ทางเหนือ และสตาลินกราดทางใต้ได้อย่างรวดเร็ว ว่ากันว่า ทหารเยอรมันสามารถมองเห็นยอดปราสาทในเมืองแล้ว ความพ่ายแพ้ของรัสเซียดูเหมือนจะ "ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้"
ทว่ารัสเซียไม่ถอย สตาลินสั่งให้ทหารสู้ตาย ไม่ใช่แค่นั้น เขาประกาศว่า ถ้าทหารคนไหนยอมแพ้ เขาจะกลายเป็นคนทรยศต่อประเทศ ลูกของเขาจะถูกลดปันส่วนอาหาร และพ่อแม่จะถูกส่งไปเข้าค่ายกักกันในไซบีเรีย และถ้าตัวเชลยสงครามหนีรอดกลับมาได้ เขาจะถูกจับเข้าค่ายทำงานหนัก หรือถูกยิงทิ้งทันที
ดังนั้น การรบในแนวรบด้านตะวันออก โดยเฉพาะการรบในเมืองสตาลินกราดจึงดุเดือด และรุนแรงมากที่สุดและกลายเป็น "การศึกแห่งศตวรรษ"
ก่อนที่เมืองหลวงและเมืองหลักของรัสเซียจะแตกเพียงไม่กี่วัน หิมะก็ตกลงมาอย่างหนัก อาวุธหนักโดยเฉพาะรถถังและทหารเยอรมันต้องหยุดลง กองทัพเยอรมันที่ไม่ได้เตรียมสำหรับอุณหภูมิที่ติดลบหลายสิบองศาของรัสเซีย ต้องต่อสู้กับความหนาวเหน็บอย่างทรมาน
ในเวลาเดียวกัน รัสเซียมีเวลาเตรียมตัว และเสริมกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปรับมือกับกองทัพเยอรมันอย่างเต็มกำลัง กองทัพทั้งสองฝ่ายยันกันเป็นเวลานานเป็นปีๆ โดยที่รัสเซียแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และฝ่ายอักษะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ทั้งจากการรบกับรัสเซีย และฝ่ายสัมพันธมิตรที่รุกเข้ามาทางด้านตะวันตก จนในที่สุด รัสเซียก็กลายเป็นฝ่ายรุกและเข้ายึดกรุงเบอร์ลินในที่สุด
การรบในแนวรบด้านตะวันออกสอนบทเรียนในการลงทุนให้เราว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่เราเห็นแล้วว่า สถานการณ์ในที่สุดจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เราจะต้องยืนหยัดลงทุนต่อไป การถอนตัวจากตลาดจะเป็นหายนะที่แท้จริง
เฉกเช่นกับการที่สตาลินรู้ว่าฤดูหนาวที่โหดร้ายกำลังมา และการยันกำลังของเยอรมันไม่ให้เข้าเมืองที่จะสามารถหลบหนาวในอาคารได้ จะทำให้ทหารเยอรมันต้องติดกับหิมะในพื้นที่โล่ง และนั่นจะทำให้สถานการณ์การรบเปลี่ยนแปลงไป รัสเซียจะต้องเป็นฝ่ายชนะในท้ายที่สุด
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะแนะนำให้นักลงทุนยืนหยัดลงทุนในหุ้นเต็มที่ในสภาวการณ์เศรษฐกิจวิกฤติขณะนี้ แม้ผมเองจะเชื่อว่า การรบรอบนี้เป็น "แนวรบด้านตะวันออก" ที่ผมจะยืนหยัดต่อสู้และหวังว่าจะชนะเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองสามปี
การลงทุนนั้น ทุกคนจะต้องเป็น "แม่ทัพ" เอง ไม่มีใครทำแทนได้ ตัดสินใจถูกก็ชนะ ตัดสินใจผิดก็พ่ายแพ้ ไม่ตัดสินใจก็คือการตัดสินใจ ขอให้สนุกกับการทำสงครามที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘