ทอง ทอง ทอง

ในช่วงนี้ทองดูเหมือนจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่น้อย และเรากำลังจะมีตลาดซื้อขายทองล่วงหน้า ภายในเวลาไม่เกินสองเดือน แต่ทองเป็นการลงทุนที่ดีจริงหรือ? ทองคืออะไร? มันมีคุณสมบัติอย่างไรมองในแง่การลงทุน และเรื่องอื่น? เรามาดูกัน
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าทองเป็นธาตุ "มหัศจรรย์" ซึ่งคนรู้จักและใช้มันมาหลายพันปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ 4,000-5,000 ปีมาแล้ว คุณสมบัติที่โดดเด่นมากของทอง ก็คือ เป็นธาตุที่ไม่เป็นสนิม เพราะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้นสีทองที่แวววาวจึงดำรงอยู่ตราบนานเท่านาน ว่าที่จริงสัญลักษณ์ทางเคมีของทอง ก็คือ AU ซึ่งมาจากคำว่า AURORA ซึ่งแปลว่า แสงแห่งรุ่งอรุณ หรือแสงอรุโณทัย
นอกจากความงามของเนื้อทองแล้ว ทองยังเป็นโลหะที่มีความเหนียวเป็นพิเศษและไม่เปราะ เราจึงสามารถตีขึ้นรูปเป็นเส้น หรือแผ่นที่บางมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้คนสามารถนำทองมาทำเป็นเครื่องประดับที่หรูหรามาตั้งแต่โบราณ อย่างที่พบในหลุมศพบรรจุมัมมี่ สภาพทองที่เห็น ยังคงงดงามเหมือนเดิมทุกอย่างในขณะที่สิ่งอื่นๆ ต่างก็ผุพังทรุดโทรมลง ดังนั้น ทองจึงเป็นสิ่งที่คนใฝ่ฝันอยู่เสมอมาจนถึงวันนี้
ทองนอกจากเป็นเครื่องประดับที่ทรงค่าแล้ว ยังเคยเป็น "เงิน" หรือเป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นเวลานาน ต่อมามีการพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาใช้โดยมีทองหนุนหลัง จนถึงวันนี้ที่ทองกับเงินถูกแยกจากกันหมดแล้ว ทองก็ยังมีบทบาททั้งทางด้านของการทำเป็นเครื่องประดับ และการเป็นทรัพย์สินทรงค่าที่รัฐบาล และประชาชนจำนวนมาก เก็บไว้เพื่อใช้ในยามที่ต้องการ
แต่ในแง่ของการลงทุน ซึ่งเราเน้นที่ผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในทองแล้ว สถิติผลตอบแทนของทอง ซึ่งวัดจากราคาของทองที่ปรับตัวขึ้นไปในแต่ละปี กลับพบว่า ทองนั้นให้ผลตอบแทนที่น้อยมาก ในช่วง 100 ถึง 200 ปีที่ผ่านมาทองนั้นให้ผลตอบแทนเพียงประมาณเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ คือน่าจะเฉลี่ยประมาณ 2-3% ต่อปีเท่านั้น
นั่นก็คือผลตอบแทน ที่คิดเป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งมีสถิติการซื้อขายทองมายาวนาน โดยราคาของทองที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจจะทำให้คนคิดว่า ทองเป็นสิ่งที่จะให้ผลตอบแทนที่สูง เพราะราคาทองปรับขึ้นไปเฉลี่ยแล้ว นับเป็นสิบสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี ในขณะที่ความเสี่ยงที่ราคาจะตกลงมีน้อยมาก
แต่นี่อาจจะเป็นภาพลวงตา นั่นก็คือ ทองเองก็มีช่วงเวลาที่จะ "ฉายแสงแวววาว" คือเป็นช่วงที่ทองให้ผลตอบแทนสูงมาก ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างในช่วงนี้ แต่หลังจากการปรับตัวขึ้นไปแรงแล้ว ทองก็อาจจะหงอยเหงาไปอีกหลายปี ซึ่งทำให้คนที่ลงทุนซื้อทองในช่วงนี้ขาดทุนหรือไม่ได้ผลตอบแทนไปอีกนาน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับทองมาแล้ว เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหุ้นซึ่งก็มีเวลาให้ผลตอบแทนดี และเวลาที่ให้ผลตอบแทนแย่เช่นเดียวกัน
ข้อดีของทองในแง่ของการลงทุน ก็คือ ราคาหรือผลตอบแทนของทองนั้น โดยสถิติไม่มีความสัมพันธ์กับหุ้น หรือมีน้อยมาก นั่นหมายความว่า ช่วงที่หุ้นตกราคาทองอาจจะขึ้นหรือไม่ตก นี่ทำให้การถือทองบางส่วนร่วมกับหุ้นเป็นพอร์ตโฟลิโอ สามารถช่วยลดความเสี่ยง หรือกระจายความเสี่ยงเงินลงทุนของเราได้
ข้อดีของการถือทองลงทุนข้อสอง ก็คือ ทองเป็น "ของจริงที่จับต้องได้" ไม่เหมือนหุ้น หรือตราสารการเงินอื่นที่เป็น "กระดาษ" หรือเป็น "ตัวเลข" ที่เรามองไม่เห็น เราสามารถชื่นชมหรือนำทองมาลูบคลำ และเกิดความอิ่มอกอิ่มใจได้ในขณะที่หลักทรัพย์นั้น "ไม่มีตัวตน" และเวลาที่ราคามันตกลงมามากๆ เราจะพบแต่ความเศร้า ตรงกันข้าม ทองนั้นมักให้ความรู้สึกที่ดีและมั่นคง และราคาของมันไม่ค่อยจะตกลงมามากมายอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนหุ้น
ข้อดีของทองทั้งสองข้อข้างต้นนั้น โดยส่วนตัวผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะผมรู้สึกว่าการลดความเสี่ยง โดยการถือทองนั้น ไม่คุ้มกับผลตอบแทนน้อยนิดที่ทองจะทำให้เราในระยะยาว ในด้านของความรู้สึกว่าทองเป็นของจริงที่จับต้องได้นั้น ผมเองคิดว่าหุ้นนั้นถึงจะเป็น "กระดาษ" แต่มันก็เป็นของจริง มันเป็นเครื่องบอกว่าเราเป็นเจ้าของโรงงาน ร้านค้า หรือธุรกิจที่มีทั้งอุปกรณ์และคนทำงานอยู่จริง ดังนั้น เราก็รู้สึกมีความภาคภูมิใจ หรืออิ่มอกอิ่มใจได้เช่นกันจากการถือหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อดีของทองที่ผมคิดว่ามีค่าก็คือ สามารถเก็บมูลค่าทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งได้อย่างมั่นคงที่สุด เพราะเราสามารถเก็บติดตัวหรือพกพาไปที่ไหนก็ได้ พูดง่ายๆ ในยามที่เลวร้ายที่สุด ทองนั้นจะยังอยู่กับเราเสมอ ในขณะที่ทรัพย์สินอย่างอื่น อาจจะสูญเสียหรือถูกทำลายไปได้ ดังนั้น จึงเป็นเสมือน "หลักประกัน" ชิ้นสุดท้ายที่มีค่าที่สุด ผมจะลองยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และอาจจะเกิดขึ้นได้ให้ดู
ถ้าเราเป็นคนยุโรปที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หุ้นของเราที่ถืออยู่อาจจะหมดค่าลงได้ เพราะโรงงานของบริษัท อาจจะถูกบอมบ์จนพังทลายหมด เช่นเดียวกัน บ้านที่เป็นทรัพย์สินมีค่ามหาศาล อาจถูกระเบิดทำลาย ที่ดินถึงแม้จะยังอยู่ แต่ถ้าเราอาศัยอยู่ในประเทศที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ที่ดินอาจจะถูกยึดเป็นของหลวง แต่ถ้าเรามีทองอยู่ เราก็สามารถนำทองนั้นติดตัว และทองนั้นยังมีค่าที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสินค้า หรือสิ่งจำเป็นอย่างอื่นได้ ไม่ว่าเราจะยังอยู่ในยุโรป หรือหนีออกไปอยู่ในทวีปอื่น
ลองมาดูว่าถ้าเราอยู่ในประเทศไทย ซึ่งโอกาสเจอสงครามแบบนั้นมีน้อย แต่ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจ และต้องกู้เงินมาลงทุน วันหนึ่งธุรกิจอาจจะล้มละลายและคุณอาจถูกยึดทรัพย์ ทรัพย์สินต่างๆ เช่นบ้าน ที่ดิน หรือหุ้นนั้น เป็นสิ่งที่มี "ทะเบียน" ดังนั้น อาจถูกยึดไปได้ แต่ทอง โอกาสที่จะถูกยึดแทบไม่มี นี่อาจจะปรับใช้ได้กับนักการเมือง ที่อาจจะถูกยึดทรัพย์ได้ ในกรณีแบบนี้ ทองคือสิ่งที่จะยังอยู่ ด้วยเหตุผลดังกล่าว สำหรับผมแล้ว ประโยชน์ของทองนั้น เป็นเสมือนกรมธรรม์ประกันความมั่งคั่ง ที่เราจะต้องจ่าย "เบี้ยประกัน" เป็นผลตอบแทนที่น้อยลงจากการถือทอง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘