รู้ทันภัยกลโกง

การอยู่ร่วมกันในสังคมไม่ว่าจะเป็นสังคมขนาดเล็กหรือสังคมขนาดใหญ่ มักจะมีคนจำนวนหนึ่งที่อยากได้ใคร่ดีในทรัพย์สิน ของคนอื่น แต่ไม่ยอมทำกิจการงานที่ถูกต้องชอบธรรม คิดเป็นแต่ การหาช่องทาง ช่วงชิงทรัพย์สินเงินทองของบุคคลอื่น ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง เข้าทำนอง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา สุจริตชนจึงควรรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของคนโกงที่คิดจะมาหลอกเอาทรัพย์สินของเรา ไว้บ้าง เพื่อจะได้ระมัดระวังตัวไม่ให้ต้องตกเป็นเหยื่อของคนร้าย ในฉบับนี้จึงขอนำเรื่องกลโกงที่เคยเกิดขึ้นมาเล่าสู่กันอ่านเป็น อุทาหรณ์ให้ระมัดระวังกันไว้
โกงผู้ถือบัตรเอทีเอ็ม
     การใช้บัตรเอทีเอ็มในการเบิกถอนเงินจากตู้จ่ายเงินนับว่าเป็นเรื่องของ ความสะดวกสบายของทุกคนในยุคนี้ แต่ถ้าหากบัตรเอทีเอ็มหลุดมือไป และคนร้ายซึ่งมีทั้งบัตรและรู้รหัส 4 หลักในการใช้บัตรของเรา ก็อาจเป็น ช่องทางให้คนร้ายไปเบิกถอนเงินของเราจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ของเราได้
     วิธีการของคนร้ายคือ การพยายามหาวิธีรู้รหัส 4 หลักของผู้ถือบัตร ด้วยการไปต่อคิวอยู่ข้างหลัง หรือยืนเตร่อยู่ข้างๆ ผู้เข้าไปใช้บริการ ที่ตู้เอทีเอ็ม เมื่อผู้ใช้บัตรกดรหัส คนร้ายก็จะชำเลืองดูและจดจำไว้ หลังจากนั้นก็จะหาวิธีเอาบัตรเอทีเอ็มของเรา ด้วยการฉกชิงเอาซึ่งๆ หน้า หรือบางครั้งก็ใช้วัสดุเล็กๆ ติดไว้ที่มุมของช่องเสียบบัตรที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อทำให้บัตรเอทีเอ็มค้างคาอยู่ในช่องเสียบบัตร ซึ่งทำให้ผู้ใช้บัตรเข้าใจว่า เครื่องเอทีเอ็มขัดข้อง แล้วเดินจากไป      หลังจากนั้นคนร้ายก็จะนำบัตรเอทีเอ็มที่ฉกชิงมาได้หรือนำมาจากช่อง เสียบบัตร แล้วนำบัตรของเราไปใช้ถอนเงิน
     วิธีป้องกันกลโกงในเรื่องนี้คือ ต้องไม่ให้คนร้ายรู้รหัส 4 หลักของ ผู้ถือบัตร โดยขณะที่ไปใช้บริการที่ตู้เอทีเอ็ม ต้องสังเกตดูว่ามีคนมายืน อยู่ใกล้ๆ เราในรัศมีที่อาจเห็นรหัสหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายเห็นการกดรหัส ขอให้ผู้ใช้บัตรยืนประชิดติดกับตัวเครื่องเอทีเอ็มให้มากที่สุด เพื่อใช้ลำตัวของเราบังการกดรหัส นอกจากนี้ยังอาจใช้มืออีกข้างหนึ่ง ป้องบังที่ปุ่มกดด้วย เพื่อไม่ให้คนเห็นการกดรหัส ก็จะเป็นวิธีป้องกันได้ วิธีหนึ่งที่แม้คนร้ายจะได้บัตรเอทีเอ็มไป หากไม่รู้รหัส 4 หลัก ก็ไม่สามารถ ใช้ประโยชน์จากบัตรเอทีเอ็มได้      อย่างไรก็ตาม หากบัตรเอทีเอ็มต้องหลุดมือไป ไม่ว่าจะติดขัดอยู่ใน ตู้เอทีเอ็มหรือสูญหายด้วยประการใดก็แล้วแต่ ผู้ถือบัตรควรจะต้องรีบ โทรศัพท์แจ้งอายัดบัตรทันที ซึ่งสถาบันการเงินผู้ออกบัตรมีพนักงานไว้ คอยบริการรับแจ้งตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว
แชร์ลูกโซ่
     กลโกงด้วยวิธีการใช้แชร์ลูกโซ่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่ก็ ยังมีการนำเล่ห์กลนี้มาใช้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งศาลฎีกาเคยตัดสินคดีเอาผิด คนทำกิจการแชร์ลูกโซ่เป็นคำพิพากษาที่เกิดขึ้นเมื่อ 60 กว่าปีก่อน และแม้ทางการจะปราบปรามมาตลอด แต่ก็ยังคงมีผู้คนหลงเป็นเหยื่อใน วงแชร์ลูกโซ่อยู่เสมอ แชร์ลูกโซ่ได้วิวัฒนาการในระยะต่อมา โดยอุปโลกน์ เป็นกิจการแชร์น้ำมัน ใช้ชื่อว่าแชร์แม่คนนั้น แชร์แม่คนนี้ ต่อมาก็มี แชร์ไทม์แชร์ริ่ง แชร์อัญมณี และไม่เว้นแม้แต่การหลอกเอาเงินกลุ่ม เกษตรกร เรียกว่าแชร์นากหญ้า      กลโกงของแชร์ลูกโซ่อยู่ที่การรับสมัครบุคคลทั่วไปให้เข้ามาเป็นสมาชิก แล้วเรียกเก็บเงินค่าสมาชิกจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็จะให้สิทธิแก่สมาชิก เช่น กรณีไทม์แชร์ริ่ง ก็จะให้สมาชิกมีสิทธิไปใช้บ้านพักหรือโรงแรมตามที่ต่างๆ ที่โฆษณาไว้ กรณีแชร์อัญมณีก็จะมอบอัญมณีให้กับสมาชิกจำนวนหนึ่ง ไปจำหน่าย กรณีแชร์นากหญ้าก็จะมอบนากคู่หนึ่ง เรียกว่านากหญ้า ให้ไปเลี้ยง แล้วตกลงจะรับซื้อลูกของนากหญ้าคืนในราคาสูง ฯลฯ
     ที่สำคัญของแชร์ลูกโซ่ คือการให้สมาชิกไปชักชวนคนอื่นมาสมัคร เป็นสมาชิกเพิ่ม ซึ่งผู้ที่ชักชวนมาได้ก็จะได้รับเงินตอบแทนในอัตราส่วน ตามสายของผู้ที่เข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มเติม เช่น นาย ก. ซึ่งเป็นสมาชิก อยู่แล้วไปชักชวนนาย ข. มาเป็นสมาชิกใหม่ นาย ก. จะได้รับค่าตอบแทน จำนวนหนึ่ง หากนาย ข. ไปชักชวนนาย ค. มาเป็นสมาชิก ทั้งนาย ก. และนาย ข. ต่างได้เงินตอบแทนจากการที่นาย ค. สมัครเป็นสมาชิกใหม่ ตามสัดส่วนลดหลั่นกันไปตลอดสาย ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งคนร้ายก็จะนำเงินของสมาชิกใหม่มาจ่ายให้แก่สมาชิกเก่าทบเป็นทอดกันไป เรื่อยๆ จนในที่สุด เมื่อขยายฐานได้กว้าง มีคนมาสมัครเป็นสมาชิกครบจำนวน ที่คาดหวังแล้ว ก็จะปิดกิจการหลบหนีไป      ผู้ที่หลงเข้าไปสมัครเป็นสมาชิก นอกจากจะต้องเสียต้นเงินที่ไป สมัครเป็นสมาชิกแล้ว อาจถูกบุคคลที่ตนเองไปเชิญชวนให้มาสมัครสมาชิก ใหม่ดำเนินคดีฐานฉ้อโกง เพราะเข้าใจว่าสมาชิกเก่าที่ชักชวนมีส่วนร่วม รู้เห็นกับคนร้ายในเรื่องนี้ด้วย จากตัวอย่างข้างต้น นาย ค. อาจจะกล่าวหา ว่านาย ข. ร่วมกันฉ้อโกง เพราะนาย ข. ชักชวนนาย ค. มาเป็นสมาชิก และนาย ข. ก็อาจจะกล่าวหานาย ก. ว่าร่วมกันฉ้อโกง เพราะนาย ก. ชักชวนนาย ข. มาเป็นสมาชิก      ในกิจการที่มีคนมาชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก แล้วให้สมาชิกไปหา สมาชิกมาเพิ่มเติม โดยได้รับเงินตอบแทน จึงต้องระมัดระวัง อย่าหลง เข้าไปเป็นเหยื่อของแก๊งแชร์ลูกโซ่ เพราะนอกจากจะเสียเงินของตนเองแล้ว ยังอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมกันฉ้อโกงด้วย
แก๊งตกทอง
     กลโกงของแก๊งตกทอง คือคนร้ายแกล้งทำเป็นว่าเก็บเครื่องทอง รูปพรรณได้ต่อหน้าต่อตาเหยื่อ แล้วคนร้ายจะหว่านล้อมเหยื่อว่าเป็น ความโชคดีที่มาเจอลาภก้อนโตด้วยกัน แต่เนื่องจากคนร้ายไม่มีเวลาที่จะนำทองไปขายนำเงินมาแบ่งกับเหยื่อ จึงขอแลกเครื่องทองรูปพรรณ ชิ้นใหญ่ที่เก็บได้กับเครื่องทองรูปพรรณของเหยื่อที่ชิ้นเล็กกว่า หาก ใครรู้ไม่เท่าทันก็อาจหลงกลตกเป็นเหยื่อ ถอดเครื่องทองติดตัวให้กับ คนร้ายเพื่อแลกกับเครื่องทองของปลอมในมือคนร้าย ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็ถึง กับน้ำตาร่วงด้วยความเจ็บใจและเสียดายของ
แก๊งตลับยาหม่อง
     กลโกงของมิจฉาชีพแก๊งนี้มักจะทำกันบนรถยนต์โดยสารที่วิ่งระหว่าง จังหวัด ซึ่งมีระยะทางไกลๆ เมื่อผู้โดยสารเริ่มเบื่อหน่ายกับการเดินทาง ก็จะมีแก๊งคนพวกนี้ขึ้นมาบนรถ แล้วทำทีว่าตั้งวงพนันใกล้ๆ กับเหยื่อ ที่เล็งไว้แล้ว ด้วยการใช้เหรียญใส่ไว้ในตลับยาหม่องบ้าง หรือใช้วิธีเล่น ไพ่บ้าง จากนั้นจะมีหน้าม้ามาเป็นคนแทงพนัน คนร้ายที่แสดงเป็นเจ้ามือ จะใช้วิธีโกง ให้เหยื่อเห็นเพื่อหลอกกินเงินจากหน้าม้าที่มาแทงพนัน จนถึงตาสุดท้ายเจ้ามือก็ทำวิธีโกงเช่นเดียวกัน แต่คราวนี้หน้าม้าจะขอแทงเงินพนันจำนวนมาก ซึ่งเห็นชัดเจนว่าหน้าม้าจะต้องถูกเจ้ามือ กินแน่นอน คนร้ายที่เป็นเจ้ามือก็จะหันมาหาเหยื่อเพื่อชักชวนเข้าหุ้นรับแทงพนันตานั้น จากหน้าม้า หากเหยื่อหลงกลยอมนำเงินมาร่วมเข้าหุ้น กับเจ้ามือ ผลก็จะปรากฏว่าการพนันตานั้นหน้าม้าเป็นฝ่ายชนะได้เงินไป
     หลังจากนั้นแต่ละคนก็จะแยกย้ายกัน เรียกให้คนขับรถจอดระหว่าง ทางแล้วหลบหนีไป กว่าเหยื่อจะตั้งสติได้ว่าถูกเขาโกง คนร้ายก็หนีจาก ไปไกลแล้ว
หลอกให้ของรางวัล
     กลโกงวิธีนี้ก็คือการส่งจดหมายไปถึงเหยื่อว่าเป็นผู้โชคดีมีสิทธิที่จะได้ รับรางวัลเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเป็นอุปกรณ์ต่างๆ ฟรี โดยนัดหมายเหยื่อ ให้ไปรับรางวัลที่ร้านค้าตามที่ระบุไว้ หากใครหลงกลไปตามนัด ก็จะถูก พนักงานในร้านตะล่อมว่ามีสิทธิได้รับรางวัลตามที่แจ้งจริง แต่จะต้อง ขอให้ซื้อสิ่งของในร้านโดยหลอกล่อว่าของที่จะให้ซื้อเป็นของดี ราคาถูก หากใครหลงกลเพราะความปลื้มที่ตัวเองจะได้รับรางวัลฟรี ก็จะต้อง ควักเงินเพื่อซื้อของอีกชิ้นหนึ่งพ่วงกับของรางวัล เมื่อกลับถึงบ้านตั้งสติได้ แล้ว จึงรู้ว่าของที่ซื้อและของที่ได้รับรางวัลเป็นของที่มีคุณภาพต่ำและมีมูลค่า น้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่จ่ายไป      ในฉบับนี้ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ไว้ 5 เรื่องก่อน ขอให้ท่านผู้อ่านรอดพ้น ปลอดภัยจากเหล่ามิจฉาชีพและโปรดระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีของดีที่ให้กันฟรีๆ และไม่มีของฟรีที่ให้กันดีๆ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘