เรื่องของการจัดอันดับ

ในวงการเงินและการลงทุนนั้น มีเรื่องของการประกวดประชัน และการจัดอันดับกันมากมายยิ่งกว่าในวงการอื่นๆ การจัดอันดับจำนวนมากนั้น เป็นเรื่องที่ซีเรียสเอาจริงเอาจังมากเพราะมันหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะได้มาหรือเสียไป หลายๆ เรื่องก็เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าตาหรือการประชาสัมพันธ์สำหรับคนที่ถูกจัดหรือได้รับการจัดอันดับ พูดถึงการจัดอันดับที่สำคัญ และนักลงทุนต้องนำไปใช้มากก็เห็นจะเป็นเรื่องของการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เช่น พวกหุ้นกู้ และพันธบัตร การจัดอันดับแบบนี้เป็นเรื่องที่บริษัทหรือกิจการที่ต้องการออกตราสารหนี้มาขายให้กับประชาชนต้องทำ ตามเกณฑ์ที่กำหนดโดย ก.ล.ต. เพื่อที่จะบอกว่าตราสารหนี้นั้น มีความเสี่ยงที่ผู้ออกจะล้มละลายไม่มีเงินจ่ายคืน ให้กับผู้ถือตราสารหนี้นั้นมากน้อยแค่ไหน โดยการจัดอันดับมักจะบอกเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตั้งแต่ AAA AA A BBB และไล่ไปเรื่อยๆ จนถึง C และล้มละลายในที่สุด
วิธีการทำก็คือ บริษัทหรือกิจการจะต้องจ้างบริษัทที่ทำหน้าที่จัดอันดับมาทำการจัดอันดับตราสารที่จะออกขาย ซึ่งบริษัทจัดอันดับก็จะมาตรวจสอบวิเคราะห์ว่าบริษัทหรือกิจการที่จะออกตราสารหนี้นั้นมั่นคงแค่ไหน และน่าจะสามารถชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ตลอดอายุของตราสารมากน้อยแค่ไหน วิเคราะห์เสร็จแล้วให้อันดับแก่บริษัท ถ้าบริษัทไม่พอใจก็ไม่ต้องใช้  แต่ถ้าพอใจก็สามารถออกตราสารหนี้ขายได้ สถิติของต่างประเทศบอกว่า อันดับที่ได้นั้นมีความใกล้เคียงกับสถิติของการล้มละลายพอสมควร นั่นคือ บริษัทที่ได้อันดับดี เช่น AAA AA เหล่านี้ มักจะมีโอกาสล้มละลายต่ำ ดังนั้น ตราสารเหล่านี้จึงจ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่าตราสารหนี้ที่มีอันดับต่ำ เช่น พวกที่ได้อันดับ B ในเมืองไทยนั้น สถิติยังมีไม่มากนัก แต่บริษัทที่ได้อันดับดีก็มักจะค่อนข้างมั่นคงพอที่จะเชื่อถือได้ แต่บริษัทที่ได้อันดับระดับที่เป็น B ลงมานั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้มแข็งจริง แม้ว่าจะเป็น BBB หรือ BB ที่ถือกันว่าเป็นอันดับที่พอลงทุนได้ เพราะในอดีตที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่าเกิดการล้มละลายขึ้นมากกว่าที่ควรเป็น ดังนั้น ในความเห็นของผม ผมจะไม่เชื่อถือตราสารที่ได้อันดับต่ำกว่า A ว่ามีความถูกต้องพอ
การจัดอันดับหุ้นที่น่าซื้อหรือน่าขายเป็นการจัดอันดับที่เกี่ยวข้องกับเงินทองมหาศาลอีกเรื่องหนึ่ง นี่ก็เป็นการจัดอันดับของโบรกเกอร์ทุกแห่งที่มีนักวิเคราะห์ เพื่อที่จะแนะนำว่าหุ้นแต่ละตัวที่เขาศึกษาอยู่นั้น นักลงทุนควรจะซื้อ ขาย หรือถือไว้ โดยการจัดอันดับก็มักจะมีระดับเช่น "ซื้ออย่างแรง" ซื้อ "เก็บสะสม" ถือขาย ผมคิดว่าไม่ค่อยมีที่จะมีอันดับ "ขายอย่างแรง" ว่ากันว่าหุ้นที่โบรกเกอร์จัดอันดับนั้นมักจะออกแนวซื้อมากกว่าแนวขาย เหตุผลก็คงเป็นเพราะเวลาแนะนำให้ขายหุ้นนั้น มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดูไม่ค่อยดี โดยเฉพาะถ้าเป็นหุ้นที่เคยแนะนำให้ซื้อแล้วลูกค้ายังขาดทุนอยู่
การจัดอันดับว่าหุ้นไหนควรซื้อหรือขายนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าทำได้จริงก็แปลว่า เราสามารถที่จะรวยได้เพียงแต่ทำตามคำแนะนำนั้น ดังนั้น ในความเห็นผม ผมจะอ่านเฉพาะข้อเท็จจริงของบทวิเคราะห์ แต่จะไม่สนใจความเห็น หรือการให้อันดับของนักวิเคราะห์ ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งของการจัดอันดับหุ้นก็คือ ส่วนมากแล้วโบรกเกอร์มักจะวิเคราะห์จัดอันดับเฉพาะหุ้น ที่มีปริมาณการซื้อขายในแต่ละวัน มากพอที่จะทำรายได้คุ้มค่าคอมมิชชั่นให้แก่บริษัท ดังนั้นหุ้นดีที่คนยังไม่มองจำนวนมาก ซึ่งเป็นหุ้นที่ผมชอบลงทุน จึงไม่อยู่ในรายชื่อหุ้นที่ถูกจัดอันดับ
การจัดอันดับอีกแบบหนึ่งที่เริ่มทำกันมากขึ้นก็คือ การจัดอันดับการมีบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียน นี่เป็นการจัดอันดับที่น่าท้าทายมาก เพราะมันเหมือนกับเป็นการบอกว่าใครเป็นคนดีกว่าใคร แต่การจัดอันดับเท่าที่ผมดูก็คือ อาศัยการพิจารณาจากรูปแบบมากกว่าการพิจารณาเนื้อหา ตัวอย่างเช่น ถ้าโครงสร้างของกรรมการดีแล้วก็จะได้คะแนนมาก แต่คุณภาพของกรรมการหรือบทบาทของกรรมการถูกต้องหรือดีแค่ไหนไม่มีการพิจารณา ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เพราะใครจะสามารถวิเคราะห์เรื่องที่ลึกได้ขนาดนั้น แต่การให้คะแนนโดยที่ส่วนใหญ่ดูที่รูปแบบ จะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้มากน้อยแค่ไหน? ผมเองคิดว่าบริษัทที่ได้อันดับบรรษัทภิบาลดีๆ หลายบริษัทก็น่ายกย่องจริงๆ แต่หลายบริษัทที่ได้คะแนนดีๆ ผมเองก็ยังมีข้อสงสัยอยู่เหมือนกัน สำหรับผมแล้ว การประกวดบรรษัทภิบาลนั้น เหมือนกับการทำข้อสอบที่บ้าน คำถามนั้นเรารู้อยู่แล้ว ถ้าเราตอบได้ดี ทำได้ดีตามคำถามนั้น เราก็ได้คะแนนดี ได้อันดับดี แต่เราดีจริงหรือเปล่านั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตใจ เป็นจิตวิญญาณโดยเฉพาะของผู้บริหารสูงสุดที่ไม่มีใครวัดได้ ตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือ ถ้าจัดอันดับบริษัทเบิร์กไชร์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ โดยเกณฑ์ที่ใช้อยู่ เขาคงได้คะแนนต่ำมาก แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ นี่คือบริษัทที่มีบรรษัทภิบาลที่ดีที่สุดในโลกบริษัทหนึ่ง
ยังมีการจัดอันดับที่เกี่ยวข้องกับวงการเงินอีกมากเช่น การจัดอันดับประเภท Best of the Year ทั้งหลายซึ่งรวมถึงตัวบริษัท ผู้บริหาร การจัดอันดับขนาดของกิจการ และการจัดอันดับความร่ำรวยของเศรษฐีระดับประเทศและระดับโลก ทั้งหลายเหล่านี้มักจะเป็นเรื่องของหน้าตา และการประชาสัมพันธ์ซึ่งก็มักไม่มีผลเสียอะไรกับใคร แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ามีจุดอ่อนในการจัดอันดับมากมาย ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยยึดถือหรือให้น้ำหนักมากนัก ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทได้ตำแหน่ง Best .. of The Year นั่นมักจะหมายความว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะเป็นบริษัทที่ดีเยี่ยม หรือเป็นหุ้นที่ควรซื้อ ว่าที่จริงส่วนใหญ่แล้วปีหน้าเขาก็จะแย่ลง ถ้าผมจะสนใจก็คงเป็นบริษัทที่ดี "แห่งทศวรรษ" ซึ่งบังเอิญไม่มีคนจัดอันดับครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓