มารู้จักค่าเบต้าของหุ้นกันดีกว่า

ค่าเบต้า คือ ค่าสัมประสิทธ์ตัวเปรียบเทียบระหว่างหุ้นตัวใดตัวหนึ่งกับดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์ว่ามีแนวโน้มอย่างไร ซึ่งมีที่มาจากสมการเส้นตรง

y = a + bx

เมื่อ

    * y คือ ราคาหุ้น
    * x คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
    * a คือ ค่าอัลฟ่า (alpha)
    * b คือ ค่าเบต้า (beta)

ซึ่งจากสมการจะได้ว่า

    * ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น = 1 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงเป็นปฏิภาคโดยตรงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์
    * ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น > 1 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงเร็วกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์
    * ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น < 1 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงช้ากว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์
    * ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น < 0 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงเป็นปฏิภาคผกผันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์

โดยปกติแล้วนักเก็งกำไรมักนิยมเล่นหุ้นที่มีค่าเบต้าสูงกว่า 1 เพราะว่าเมื่อดัชนีตลาดขึ้น หุ้นเหล่านี้จะขึ้นได้มากกว่าตลาด ตามหลักกาที่ว่าผลตอบแทนสูง จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย (High Risk, High Return) เพราะเมื่อดัชนีตลาดมีทิศทางขาลง หุ้นเหล่านี้ก็จะลงมากกว่าตลาดเช่นกัน

ค่าเบต้าของหุ้นแต่ละตัวจะไม่เสถียร (Unstable) และเปลี่ยนแปลงตลอด หุ้นที่มีค่าเบต้าสูงในระยะเวลาหนึ่งอาจเป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำในเวลาต่อ มา ดังนั้นหากนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรสามารถหาหุ้นที่ปัจจุบันมีค่าเบต้าที่ต่ำ กว่า 1 ในขณะที่ตลาดกำลังซบเซา และค่าเบต้าของหุ้นนี้มีค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เมื่อตลาดฟื้นตัวหรือเป็นตลาดกระทิงแล้วก็จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการลงทุน ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่มีผลตอบแทนสูง

ในส่วนของค่าอัลฟ่านั้น นักลงทุนควรจะเลือกหุ้นที่มีค่าอัลฟ่าเป็นบวกคือ ในวันที่ตลาดนิ่งๆไม่ไปไหน หุ้นที่มีค่าอัลฟ่าเป็นบวกก็จะสามารถลอยตัวหรือมีค่าเป็นบวกได้ ในขณะที่หุ้นที่มีค่าอัลฟ่าเป็นลบอาจจะมีราคาติดลบได้ ถึงแม้ตลาดไม่มีการเคลื่อนไหว

โดยการหาค่าเบต้านั้นอาจจะสามารถหาได้โดย
1. อ่านจากหนังสือพิมพ์ หรือไปดูที่ข้อมูลจาก SET ได้
2. คำนวณเอง ให้คำนวณจากการทำ regression ระหว่าง ผลตอบแทนหุ้น (อ้างอิงจากราคาหุ้น เป็นตัวแปรตาม) และ ผลตอบแทนตลาด (อ้างอิงจากดัชนีตลาด เป็นตัวแปรอิสระ) โดยใช้ราคาปิดแต่ละวันมาเป็นฐานคำนวณก้อได้ แต่ปัญหาคือ จะใช้จำนวนข้อมูลมากแค่ไหน 1 ปี 5 ปี 10 ปี แล้วแต่วิจารณญาณนะครับ

สุดท้ายนี้จะขอยกกลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ค่าเบต้า โดยคุณวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล จาก บล.ทรินีตี้ มาลงไว้ที่นี้

    ในภาวะที่เศรษฐกิจผันผวนและการเมืองไม่แน่นอน เราควรเลือกกลุ่มหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำ เพื่อลดความผันผวน แต่ถ้าเศรษฐกิจเป็นขาขึ้นแล้วนั้น การใช้กลยุทธ์เลือกหุ้นเบต้าสูงจะให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่า เราสามารถสรุปการใช้กลยุทธ์ ดังนี้

    หนึ่ง โดยปกติหุ้นกลุ่มวัฏจักร สถาบันการเงินและกลุ่มที่ดินจะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีค่าเบต้าสูงในขณะที่หุ้น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสาธารณูปโภคจะเป็นหุ้นกลุ่มเบต้าต่ำ

    สอง ถ้านักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นน่าจะเป็นขาขึ้น และเศรษฐกิจสดใส ดอกเบี้ยเริ่มชะลอตัวลง ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีค่าเบต้าสูง ในขณะที่หากนักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นน่าจะเป็นขาลง กลยุทธ์การลงทุนคือการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำใน Portfolio ให้มากขึ้น หรืออาจจะเป็นเงินสดก็ได้

    สาม หุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำ จะมีลักษณะมีเงินปันผลสูง มีขนาดราคาตลาดของหุ้น (Market Capitalization) สูง และมีสินทรัพย์ที่มั่นคง ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่มีเงินปันผลน้อย มีขนาดราคาตลาดของหุ้น (Market Capitalization) ต่ำ จะมีค่าเบต้าสูง

    สี่ ค่าเบต้าของหุ้นแต่ละตัวจะไม่เสถียร (Unstable) และเปลี่ยนแปลงตลอด หุ้นที่มีค่าเบต้าสูงในระยะเวลาหนึ่งอาจเป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำในเวลาถัด ไป โดยปกติ ค่าเบต้ามีแนวโน้มสู่ศูนย์กลาง เพราะค่าเบต้าของหุ้นกลุ่มไหนสูงกว่า 1 มากๆ ตลาดที่มีประสิทธิภาพจะเป็นตัวปรับค่าเบต้านั้นลงมาเอง

    ห้า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเบต้า คือ ผลประกอบการ การคาดหวัง และการตอบสนองของนักลงทุนต่อหุ้นนั้นๆ

    กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ค่าเบต้าเป็นตัววัด จะให้ผลตอบแทนสูง ถ้าเราสามารถอ่านทิศทางของตลาดได้อย่างถูกต้อง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘